วันพุธ ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 กำลังทหารกัมพูชาได้เปิดฉากใช้อาวุธยิงใส่กำลังพลฝ่ายไทยในพื้นที่ภูผาเหล็ก - พลาญหินแปดก้อน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเหตุให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย
จากนั้น สถานการณ์การปะทะก็ขยายวงตามแนวชายแดน
ในวันที่ 8 ธันวาคม 2568 เป็นต้นมา ยังมีการปะทะในหลายพื้นที่ โดยฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธทุกประเภท ทั้งปืนกล ปืนใหญ่ จรวดหลายลำกล้อง โดรนทิ้งระเบิด และทุ่นระเบิดสังหารบุคคล โจมตีเข้ามายังฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง
กำลังพลฝ่ายไทยเสียชีวิตแล้ว 3 นาย บาดเจ็บอีกมากกว่า 30 คน
ส่วนความสูญเสียของฝ่ายกัมพูชาไม่มีการเปิดเผย คาดว่ามากกว่าที่ไทยสูญเสียหลายเท่าตัว
สถานการณ์ข้างต้น ทำให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดน ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด ต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย
ปัจจุบัน มีศูนย์พักพิงในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 จำนวน 687 แห่ง รองรับประชาชน 110,657 คน และในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 จำนวน 44 แห่ง รองรับประชาชน 20,220 คน
กระทรวงการต่างประเทศได้จัดการบรรยายสรุปข้อมูลความจริง เผยแพร่แก่เอกอัครราชทูตจาก 73 ประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ
ตอกย้ำว่า “เหตุการณ์ครั้งนี้ สะท้อนการรุกรานและการยั่วยุของฝ่ายกัมพูชาในรูปแบบเดิม ทั้งการเปิดฉากใช้อาวุธ การลอบวางทุ่นระเบิด และการปฏิเสธความรับผิดชอบ แม้จะพยายามสร้างภาพเรียกร้องสันติภาพและยับยั้งชั่งใจ
ไทยมุ่งปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน จึงจำเป็นต้องดำเนินการทางทหารเท่าที่จำเป็น จนมั่นใจว่าอธิปไตยและดินแดนไทยจะไม่ถูกคุกคาม
ประชาชนชาวไทยได้เผชิญภัยคุกคามจากการกระทำของกัมพูชามาแล้วหลายครั้ง จนความอดทนอดกลั้นถึงขีดจำกัด รัฐบาลไทยจึงให้ความสำคัญสูงสุดต่อการปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน”
1. กัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากใช้อาวุธหนักก่อน ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บและต่อมามีผู้เสียชีวิต
ไทยจึงจำเป็นต้องปฏิบัติการป้องกันตนเองตามสิทธิที่พึงมีของรัฐอธิปไตย และเป็นไปตามหลักสากลทุกประการ
เหตุการณ์เริ่มจากการปะทะบริเวณภูผาเหล็ก และพลาญหินแปดก้อน อ.กันทรลักษ์จ.ศรีสะเกษ โดยฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน ตั้งแต่วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๘ เวลา 14.15 น.หน่วย พัน.ร.๑๓ (ฉก.๑) ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ ถูกทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงด้วยอาวุธปืนเล็กใส่ฝ่ายไทยก่อน จนส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย ได้แก่ ส.อ.อนุชาติ เรือนคำ และ พลฯพรชัย จำปาจุม
เวลา 14.16 น. ฝ่ายไทยจำเป็นต้องตอบโต้ เพื่อป้องกันตนเองตามกฎการปะทะ (Rules of Engagement: ROE) โดยใช้อาวุธตามสัดส่วนและความจำเป็น
ขณะเดียวกัน ฝ่ายกัมพูชาได้ยกระดับการใช้อาวุธ โดยใช้อาวุธต่อสู้รถถัง (ปรส.) ยิงใส่ฝั่งไทย
แม่ทัพภาคที่ 2 จึงได้สั่งให้ทุกหน่วยเพิ่มระดับความพร้อมเต็มรูปแบบทันที
ในเวลา 16.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้สั่งเสริมกำลังและเตรียมแผนอพยพประชาชน พร้อมสั่งการให้กองทัพเพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัยตลอดแนวชายแดน เร่งเปิดจุดรองรับและขนย้ายประชาชนใน 4 จังหวัดชายแดนไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยนายกรัฐมนตรียังได้ย้ำว่า ไทยไม่ต้องการความรุนแรง แต่จะไม่ยอมให้ใครละเมิดอธิปไตยอย่างเด็ดขาด
ต่อมา วันที่ 8 ธันวาคม 2568 เวลา 03.09 น. กัมพูชากำหนดเป้าหมายของอาวุธยิงสนับสนุนมายังฝั่งไทยในพื้นที่ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และโรงพยาบาลปราสาท จังหวัดสุรินทร์
เวลาตี 5 ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธยิงมายังแนวการวางกำลังของฝ่ายไทยในพื้นที่ช่องอานม้าฝ่ายไทยทำการยิงตอบโต้ตามกฎการปะทะ
06.00 น. ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธยิงวิถีโค้งระดมยิงต่อฝ่ายไทยในพื้นที่ช่องอานม้า โดยตั้งแต่ช่วงเช้ามืด กัมพูชาได้ริเริ่มยิงใส่ฝ่ายไทยก่อนในหลายพื้นที่ มีการใช้อาวุธหนัก ซึ่งเป็นเหตุให้ทหารไทยเสียชีวิตอย่างน้อย 1 นาย ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องตอบโต้โดยใช้เครื่องบินรบโจมตีที่ตั้งทางทหารของฝ่ายกัมพูชา เพื่อป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตของกำลังพลฝ่ายไทยและเป็นไปตามกฎการใช้กำลังอย่างเหมาะสมตามหลักสากล ไทยจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย ปกป้องกำลังพล และรักษาความมั่นคงตามสิทธิอันชอบธรรมของชาติ การปฏิบัติของฝ่ายไทยทั้งหมดเป็นไปตามกฎการใช้กำลังระหว่างประเทศ หลักมนุษยธรรม และการตอบโต้ตามสัดส่วน
นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำชัดเจนว่า “ไทยต้องการสันติภาพ แต่จะไม่ยอมให้ใครรุกล้ำอธิปไตยไทย และพร้อมดำเนินการทุกมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องประเทศและประชาชน”
หลังจากนั้น ได้เกิดการปะทะหลายจุด ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
2. พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า เป้าหมายต่อปฏิบัติการทางทหารที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติเป็นสำคัญ
ยืนยันว่า การดำเนินการทั้งหมด ประเทศไทยจะยึดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) เพื่อจำกัดความรุนแรงของการปะทะ แยกแยะเป้าหมาย และได้สัดส่วนโดยมุ่งเป้าลิดรอนขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชา
พร้อมย้ำ “ไทยต้องการสันติภาพ แต่สันติภาพต้องมาพร้อมความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน”
3. ประเด็นข่าวประเทศพาดหัวว่าไทยเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ?
พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า การปฏิบัติการทางอากาศนั้น เป็นการปฏิบัติการร่วมกับกองกำลังสุรนารี ในการตอบโต้การปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายกัมพูชา ที่เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของไทย รวมทั้งต่อความปลอดภัยของประชาชนที่อยู่อาศัยในบริเวณพื้นที่ชายแดน และกำลังพลที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
จากข้อมูลการตรวจสอบทางยุทธการพบว่า มีการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์หนัก การจัดกำลังรบ และการเตรียมการสนับสนุนด้านการยิงของกัมพูชา ซึ่งอาจนำไปสู่การขยายวงของการปฏิบัติการทางทหารในลักษณะที่คุกคามเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนไทย จึงนำไปสู่การใช้กำลังทางอากาศ เพื่อยับยั้งและลดศักยภาพทางทหารของกัมพูชาในระดับที่จำเป็นต่อการรักษาความมั่นคงของรัฐ และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่
ทั้งนี้ กองทัพอากาศได้ปฏิบัติภารกิจอย่างรอบคอบ โดยกำหนดเป้าหมายเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร คลังอาวุธ ศูนย์บัญชาการ และเส้นทางสนับสนุนการรบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม ซึ่งถูกประเมินว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง พร้อมทั้งยังตรวจสอบผลการโจมตี เพื่อยืนยันว่าการปฏิบัติการเป็นไปตามหลักสากลของการป้องกันตนเอง (Right of Self-Defence) ตามกฎบัตรสหประชาชาติ และยึดหลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน (Necessity & Proportionality) อย่างเคร่งครัด
กองทัพอากาศยืนยันว่า จะปฏิบัติการทางอากาศบนพื้นฐานของความรับผิดชอบ และจะตอบสนองต่อภัยคุกคามที่มีผลกระทบต่อเอกราชอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชน ภายใต้เป้าหมายสูงสุด คือการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคและป้องกันไม่ให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ย้ำอีกครั้งว่า ปฏิบัติการทางอากาศของกองทัพอากาศมุ่งเป้าโจมตีเป้าหมายทางการทหาร ตอบโต้ปฏิบัติการของกัมพูชาที่โจมตีฝ่ายไทยก่อน การกำหนดเป้าหมายเป็นการวางแผนร่วมกัน ระหว่างกองทัพอากาศ กองทัพบก และกองกำลังสุรนารี กำหนดเป้าหมายที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติภารกิจ
โฆษกกองทัพอากาศ ยังกล่าวต่อว่า กองทัพอากาศจะให้การสนับสนุนในการปฏิบัติภารกิจของกองกำลังสุรนารี กองกำลังบูรพา และกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด ของทั้งกองทัพบก, กองทัพเรือ เป็นการปฏิบัติการร่วมของทั้ง 3 เหล่าทัพ เพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย
“การโจมตีเป้าหมาย กองทัพอากาศจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จนกว่ากัมพูชาจะยุติความพยายามในการกระทำที่เป็นภัยคุกคาม ต่อกองกำลังของเรารวมถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน” โฆษกกองทัพอากาศ กล่าว
4. รมว.การต่างประเทศ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ได้บรรยายสรุปสถานการณ์ชายแดนต่อทูตจาก 58 ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ รวม 73 คน
สรุป 5 ประเด็นหลัก ดังนี้
1.กัมพูชามีพฤติกรรมซ้ำเดิม ทั้งรุกราน-ยั่วยุไทยก่อน เช่น ลอบวางทุ่นระเบิด แต่ปฏิเสธข้อเท็จจริง
2.ไทยจำเป็นต้องใช้มาตรการทางทหารเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน
3.สังคมไทยหมดความอดทนต่อการคุกคามซ้ำของกัมพูชา และไทยต้องปกป้องประชาชนตนเอง
4.ปฏิบัติการของไทยจะดำเนินต่อจนกว่ากัมพูชาจะเลือกเส้นทางสันติภาพที่แท้จริง
5.กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและ Joint Declaration ที่ลงนามร่วมกันในเดือนตุลาคม
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศไทย ยังเน้นย้ำเพิ่มเติมอีก 3 ประเด็น ดังนี้
1. เหตุปะทะตามแนวชายแดน
- รมว.การต่างประเทศชี้แจง Timeline ราว 14 เหตุการณ์ที่ยืนยันว่ากัมพูชาเริ่มยิงก่อน รวมถึงเหตุเมื่อ 7 ธ.ค. ที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นายและเหตุปะทะเช้ามืดวันที่ 8 ธ.ค. หลายพื้นที่ มีทั้งการยิงอาวุธปืนและการเคลื่อนย้ายอาวุธยิงระยะไกลของกัมพูชา ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 8 นาย และมีรายงานว่ากัมพูชายิง BM-21 ใส่พลเรือนไทย ไทยได้ประท้วงต่อผู้สังเกตการณ์อาเซียนแล้ว
- รมว.การต่างประเทศย้ำว่าไทยจำเป็นต้องใช้การโจมตีทางอากาศเพราะภูมิประเทศเต็มไปด้วยทุ่นระเบิด การตอบโต้ของไทยเป็นการ “ป้องกันตนเอง” ตามข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ อยู่บนหลักความจำเป็น ความได้สัดส่วน และจำกัดเป้าหมายเฉพาะทางทหาร พร้อมประณามการโจมตีของกัมพูชาที่ละเมิดข้อตกลงหลายฉบับและคุกคามประชาชนไทย
2. ผลกระทบต่อประชาชน
- การโจมตีของกัมพูชาทำให้พลเรือนไทยในบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี รวมเกือบ 400,000 คน ต้องอพยพ โรงเรียนกว่า 600 แห่งใน 5 จังหวัดชายแดน และโรงพยาบาลหลายแห่งต้องปิดชั่วคราว กระทบต่อสิทธิพื้นฐานและบริการสำคัญของประชาชน
3. การเผยแพร่ข้อมูลเท็จของกัมพูชา
- กัมพูชายังคงเผยแพร่ข้อมูลเท็จและบิดเบือนอย่างเป็นระบบ เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นจากการลอบวางทุ่นระเบิดในดินแดนไทยที่ไทยเพิ่งรายงานต่อประชาคมโลก ตัวอย่างคือการใช้ภาพเก่ากล่าวหาไทย และการกล่าวหาว่าไทยเริ่มโจมตีก่อน ทั้งที่มีเอกสารตอบโต้เร็วผิดปกติ ไทยได้ดำเนินการทางการทูตเพิ่มเติม ได้แก่ เชิญทูตมาเลเซียและสหรัฐฯ ในฐานะสักขีพยาน Joint Declaration มีหนังสือประท้วงกัมพูชา ทำหนังสือเวียนถึงอาเซียน แจ้งเลขาธิการสหประชาชาติ และส่งหนังสือถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคง รวม 5 ช่องทาง
- กระทรวงการต่างประเทศย้ำให้ประชาชนติดตามข้อมูลจากช่องทางทางการ และให้สื่อมวลชนรายงานอย่างครบถ้วน โดยโฆษกฯ จะทยอยแถลงอัปเดตสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
5. นายกฯ อนุทินยัน ไม่มีคำสั่งให้หยุดยิง รัฐบาลสนับสนุนกองทัพเต็มที่
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (9 ธ.ค.2568) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ยืนยันว่า เราดำเนินการในสิ่งที่ควรดำเนินการ คือ การแสดงความเป็นประเทศไทย ให้กับผู้ที่คิดไม่ดีให้เห็นอย่างชัดเจน ขอให้ให้กำลังใจผู้ที่กำลังปกป้องแผ่นดินของเราดีกว่า
นักข่าวถามว่ามีเสียงขอให้ทหารหยุดการสู้รบ?
นายอนุทิน ระบุว่า “ไม่มีครับ ไม่มีครับ ตอนนี้หยุดไม่ได้แล้วครับ ให้คำมั่นสัญญากับกองทัพ ให้กองทัพดำเนินการตามแผนที่ได้เตรียมการกันไว้อย่างเต็มที่รัฐบาลสนับสนุนทุกรูปแบบ”
บอกเลย จุดยืนท่าทีของผู้นำรัฐบาลไทยปัจจุบัน เป๊ะ ปึ้ก และไว้ใจได้
หนู ไม่ใช่หมูนะโว้ยยย ฮุนเซน!
สารส้ม

กขค. ผนึก สคบ. ร่วมขับเคลื่อนและกำกับดูแล 'ดิจิทัลมาร์เก็ต'
วอลเลย์บอลหญิงประเดิม!เช็คโปรแกรมแข่งซีเกมส์วันพุธนี้
'กอ.รมน.'เข้มเฝ้าระวัง 'โดรนสอดแนม–โดรนพลีชีพ' ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย เขมร
ซีเกมส์เปิดฉาก!พิธีเปิดยิ่งใหญ่-‘พาณิภัค’จุดไฟคบเพลิง
เปิดภาพ! พระราชินี ทรงพระดำเนินร่วมกับพาเหรดทัพไทยเข้าสู่สนามพิธีเปิดซีเกมส์ครั้งที่ 33

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี