วันพุธ ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568
เมื่อปีที่แล้ว ผู้เขียนเคยนำเสนอบทความวิเคราะห์ซีรีส์ “สาธุ” ภาคแรก โดยเสนอแนวทางการตรวจสอบเงินบริจาคและการบริหารจัดการวัดตามหลักธรรมาภิบาล 9 ข้อ เพื่อป้องกันปัญหา “เกาะศาสนา...กิน”แบบที่น้าแต๋งและพระเอกชัยสร้างความเสียหายให้กับวัดภุมรามในภาคแรกมาแล้ว และในซีรีส์ “สาธุ 2” ที่เพิ่งกลับมาฉายบน Netflix ก็ได้ตอบโจทย์ดังกล่าวอย่างชัดเจน ด้วยการนำเสนอระบบธรรมาภิบาลวัดที่ทันสมัยในวัดหนองขาล ทั้งระบบติดตามการใช้จ่ายเงินบริจาคแบบ Real-time การใช้ต้นโพธิ์ใหญ่เป็นรูปเคารพสร้างศรัทธาให้ประชาชน และการใช้“โพธิ์เคน” 3 ระดับตามระดับการบริจาคเหมือนโทเคนในเกมออนไลน์ที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้บริจาคเห็นคุณค่า และติดตามผลได้
แต่ซีรีส์ไม่ได้หยุดแค่การแสดงให้เห็นระบบธรรมาภิบาลที่ดีเท่านั้นแต่ยังเปิดประเด็นที่ลึกและหนักกว่าเดิมมาก เพราะเมื่อมีระบบธรรมาภิบาลที่ดีแล้ว แต่ยังมีอำนาจนอกระบบและเครือข่ายผลประโยชน์ที่คุกคามผู้กล้าตั้งคำถาม สังคมจะปกป้องผู้พูดความจริงได้อย่างไร?
ระหว่าง “มีเซนส์” กับ “อคติ”เส้นบางๆ ของการตั้งคำถาม
หนึ่งในฉากที่เริ่มต้นปัญหาของซีรีส์ คือ บทสนทนาระหว่างเจ้าอาวาส กับรองเจ้าอาวาส เมื่อรองเจ้าอาวาสเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของโยมที่มาช่วยงานวัด “แต่โยมเอ๋หักเงินทอนเท่าไรท่านก็ทราบ ทำไมเราต้องไปเกรงใจเขาด้วยครับ”
เจ้าอาวาส: “วัดกับชุมชนมันต้องพึ่งพากัน อะไรที่เรายอมได้ เราก็ยอมไป”
บทสนทนาสั้นๆ นี้สะท้อนสภาวะที่สำคัญของการบริหารองค์กร การตั้งคำถามเพื่อความระมัดระวัง และการปกป้ององค์กร อาจถูกมองว่าเป็น “อคติ” หรือ “ไม่ให้ความร่วมมือ”ได้ง่ายมาก โดยเฉพาะเมื่อคำถามนั้นกระทบกับความสัมพันธ์ในชุมชนหรือผู้มีอิทธิพล
ในทฤษฎีธรรมาภิบาลองค์กร การตั้งคำถาม และการตรวจสอบถ่วงดุล คือหัวใจสำคัญแต่ในความเป็นจริง ผู้กล้าตั้งคำถามมักถูกตีตราว่า เป็นการทำลายความสามัคคี ขัดขวางการทำงาน หรือมีวาระซ่อนเร้น จนในที่สุด คนก็เลิกตั้งคำถาม เพราะกลัวถูกมองว่าเป็นปัญหา สิ่งที่เกิดขึ้นในซีรีส์คือการที่พระรองเจ้าอาวาส และไวยาวัจกรถูกผลักไสออกจากกระบวนการตัดสินใจ เพราะความระมัดระวังของเขาถูกตีความว่าเป็น “อคติ” และเมื่อเขายังคงตั้งคำถาม มันก็นำไปสู่ความอันตรายต่อชีวิตในที่สุด
เมื่อธรรมาภิบาลไม่ใช่คำตอบเดียว
วัดหนองขาลในสาธุ 2 มีระบบธรรมาภิบาลที่ดี สอดคล้องกับแนวปฏิบัติ 9 ข้อที่ผู้เขียนเคยนำเสนอในบทความเดิมก็จริง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในซีรีส์ไม่ได้อยู่ที่การบริหารเงินบริจาค แต่อยู่ที่ การจัดซื้อจัดจ้างที่เอื้อประโยชน์กับเครือข่ายอำนาจนอกระบบ ระหว่างนายทุน นักการเมืองท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่รัฐ ที่สอดแทรกเข้ามาในโครงการก่อสร้างของวัด ถึงแม้จะมีการทักท้วงเรื่องมาตรฐานการก่อสร้างที่อาจเป็นอันตรายต่อประชาชน แต่คำทักท้วงกลับถูกมองข้าม เพราะความปลอดภัยของประชาชนถูกเอาชนะด้วยผลประโยชน์และอำนาจ
จากจอซีรีส์สู่ชีวิตจริง
สิ่งที่เกิดขึ้นในซีรีส์ไม่ใช่เพียงเรื่องแต่ง แต่เป็นภาพสะท้อนของสังคมไทยที่เรามักเห็นจากข่าวในปีนี้ ทั้งกรณีตึก สตง. ถล่ม ที่สะท้อนเรื่องของมาตรฐานการก่อสร้างที่ถูกมองข้าม หรือกรณีวัดพระบาทน้ำพุ กับการยักยอกเงินบริจาคจำนวนมหาศาล มีเครือข่ายผลประโยชน์แทรกซึมเข้ามาสิ่งที่น่ากลัวคือทั้งสองกรณีมี “ระบบธรรมาภิบาล” อยู่ในกระดาษ มีกฎหมายกำกับดูแล มีหน่วยงานรับผิดชอบ แต่ระบบเหล่านั้นไร้อำนาจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเครือข่ายอำนาจที่ฝังลึก
เมื่อวัดต้องมีมากกว่า “บุญ” เพื่อปกป้องตัวเอง
สิ่งที่ซีรีส์สาธุ 2 ต้องการสื่อสารไม่ใช่แค่เรื่องการทุจริตในวัด แต่เป็นคำถามที่ท้าทายกว่านั้น สังคมไทยพร้อมหรือยังที่จะปกป้องผู้กล้าตั้งคำถามเพื่อความถูกต้อง เราสร้างระบบธรรมาภิบาล สร้างกฎหมาย สร้างกลไกตรวจสอบมากมาย แต่ถ้าผู้กล้าใช้กลไกเหล่านั้นกลับถูกมองว่าเป็นปัญหา ถูกคุกคาม ถูกกำจัด แล้วระบบเหล่านั้นจะมีความหมายอะไร?
จากบทเรียนของซีรีส์ และความเป็นจริงในสังคมไทย ผู้เขียนขอเสนอแนวทางเพิ่มเติมจากธรรมาภิบาล 9 ข้อ ที่เคยนำเสนอไว้ ดังนี้
1. ระบบปกป้องผู้เปิดเผย (Whistleblower Protection)
วัดต้องมีระบบที่ให้พระสงฆ์ กรรมการ และฆราวาสที่ทำงานในวัด สามารถรายงานความเสี่ยงหรือความผิดปกติได้โดยไม่ถูกตีตราหรือถูกทำร้าย ต้องมีช่องทางรายงานที่เป็นอิสระจากเจ้าอาวาส และคณะกรรมการวัด อาจผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติหรือองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่รับเรื่องและคุ้มครอง
2. แยก “การตั้งคำถาม” ออกจาก “อคติ”
ต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เห็นคุณค่าของคำถาม โดยเข้าใจว่า “อคติ” คือการตัดสินโดยไม่มีเหตุผลหรือข้อมูล ในขณะที่ “มีเซนส์” หรือ “ความระมัดระวัง” คือการตั้งคำถามโดยอิงจากข้อมูล และพฤติกรรมที่สังเกตได้ การตั้งคำถามไม่ได้หมายความว่าไม่ไว้วางใจ แต่เป็นหน้าที่ของกรรมการและผู้มีส่วนร่วมในการบริหารวัดและองค์กร
3. กลไกตรวจสอบภายนอกที่เข้มแข็ง สำหรับโครงการก่อสร้างและการจัดซื้อจัดจ้าง
ระบบธรรมาภิบาลภายในวัดอาจไม่เพียงพอเมื่อเผชิญกับเครือข่ายอำนาจจากภายนอก ดังนั้น โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่หรือการจัดซื้อจัดจ้างที่มีมูลค่าสูง ควรมีผู้เชี่ยวชาญอิสระ เช่น วิศวกร สถาปนิก หรือผู้ตรวจสอบที่ไม่มีส่วนได้เสียกับผู้รับเหมา เข้ามาตรวจสอบมาตรฐานและความปลอดภัย ก่อนที่จะอนุมัติโครงการและระหว่างการก่อสร้าง
4. ความโปร่งใสในการเลือกผู้รับเหมา
ต้องมีระบบการประกวดราคาที่โปร่งใส มีการเปิดเผยข้อมูลผู้เสนอราคา เกณฑ์การพิจารณา และเหตุผลในการตัดสินใจเลือกผู้รับเหมา รวมถึงการตรวจสอบประวัติและความน่าเชื่อถือของผู้รับเหมาก่อนการจ้างงาน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายผลประโยชน์แทรกซึมเข้ามาได้ง่าย
5. การมีส่วนร่วมของชุมชนในการติดตามโครงการ
นอกจากระบบที่ให้ผู้บริจาคติดตามการใช้จ่ายได้แล้ว ควรมีกลไกให้ชุมชนรอบวัด และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการติดตามความคืบหน้าของโครงการก่อสร้าง สามารถตั้งคำถาม และรับคำตอบอย่างตรงไปตรงมา สร้างแรงกดดันเชิงบวกจากสาธารณะได้
สาธุ...สำหรับผู้กล้าตั้งคำถาม
แม้วัดจะมีธรรมาภิบาล 9 ข้อ แต่ถ้าคนกลัวตั้งคำถามเพราะกลัวถูกมองว่า “อคติ” ถ้าเครือข่ายอำนาจแทรกซึมเข้ามาครอบงำการตัดสินใจ ถ้าผู้กล้าพูดความจริงต้องแลกด้วยชีวิต ระบบธรรมาภิบาลที่สวยงามก็จะกลายเป็นเพียงป้ายที่ไร้ประสิทธิภาพ ผู้เขียนขออุทิศ “สาธุ” ให้ทุกคนที่กล้าตั้งคำถามเพื่อความถูกต้อง ที่กล้ายืนหยัดปกป้องผู้อื่น แม้เผชิญความเสี่ยง
และขอให้สังคมไทยเรียนรู้แยกแยะระหว่าง “ผู้ทำลายความสามัคคี” กับ “ผู้พยายามปกป้ององค์กร” เพราะถ้าเรายังกำจัดคนที่กล้าตั้งคำถาม วันหนึ่งเราจะไม่มีใครเหลือเพื่อเตือนเรา
ก่อนโศกนาฏกรรมจะเกิดขึ้น
สาธุ...สำหรับทุกคนที่มี “เซนส์” ไม่ใช่ “อคติ”
นันท์วดี แดงอรุณ

กขค. ผนึก สคบ. ร่วมขับเคลื่อนและกำกับดูแล 'ดิจิทัลมาร์เก็ต'
วอลเลย์บอลหญิงประเดิม!เช็คโปรแกรมแข่งซีเกมส์วันพุธนี้
'กอ.รมน.'เข้มเฝ้าระวัง 'โดรนสอดแนม–โดรนพลีชีพ' ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย เขมร
ซีเกมส์เปิดฉาก!พิธีเปิดยิ่งใหญ่-‘พาณิภัค’จุดไฟคบเพลิง
เปิดภาพ! พระราชินี ทรงพระดำเนินร่วมกับพาเหรดทัพไทยเข้าสู่สนามพิธีเปิดซีเกมส์ครั้งที่ 33

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี