วันศุกร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568
การสู้รบรอบนี้ ทหารกัมพูชาใช้วิธีการสกปรกหลายแบบ
ใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ โดยตั้งอาวุธยิงวิถีไกล จรวดหลายลำกล้อง ยิงจากพื้นที่ชุมชนเขมร ใกล้บ้านเรือนพลเรือนในเขมร โจมตีเป้าหมายในประเทศไทย ไม่แยกแยะบ้านเรือนคนไทยพังเสียหาย
ใช้บ้านเรือนพลเรือนเขมรตั้งฐานปืน กำบังทางทหาร โจมตีทหารไทยที่เข้ายึดพื้นที่สระแก้ว
นอกจากนี้ ยังใช้อาคารกาสิโนหลายแห่ง ฐานสแกมเมอร์ เป็นที่ตั้งบัญชาการโดรนสังหาร ฐานซ่องสุมอาวุธ เป็นที่ปฏิบัติการทางทหารของกัมพูชา
รวมทั้งใช้โบราณสถาน ไม่ว่าจะเป็นปราสาทตาควาย เขาพระวิหาร เป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร ทั้งฐานปืน ฐานโดรน โจมตีฝ่ายไทย
แต่รอบนี้ ทหารไทยเอาจริง และไม่ไร้เดียงสา
ปฏิบัติการทางทหารอย่างเด็ดขาด แม่นยำ ในการปฏิบัติตอบโต้ป้องกันตนเอง
1. เมื่อ “บ่อนกาสิโน” แปรสภาพเป็น ที่บัญชาการรบ ก็ต้อง… “ทำลายให้สิ้นสภาพ”
SMART Soldiers Update ระบุว่า เมื่อฝ่ายกัมพูชาใช้ “บ่อนกาสิโน”เป็นฐานบัญชาการรบและศูนย์ควบคุมโดรนโจมตีไทยกองทัพไทยจำเป็นต้องใช้สิทธิแห่งการป้องกันตนเอง (Right to Self-Defense) ด้วยการปฏิบัติการที่จำเพาะเจาะจงต่อเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และจำกัดวงความเสียหายอย่างแม่นยำที่สุด
เป้าหมายพิกัดทางทหาร
ช่องจอม สุรินทร์ – บ่อนโอร์เสม็ด
ช่องอานม้า อุบลราชธานี – บ่อนช่องอานม้า
ช่องสายตะกู บุรีรัมย์ – บ่อนสายตะกู
ตาพระยา สระแก้ว – บ่อนกาสิโนตรงข้ามพื้นที่ตาพระยา
ชำราก ตราด – บ่อนทมอดา
กองทัพไทยปฏิบัติการทุกจุดด้วย ความแม่นยำสูงสุด เพื่อหยุดยั้งภัยคุกคามต่อกำลังพล และเพื่อความปลอดภัยของประชาชนไทยตามแนวชายแดน
ย้ำว่า กองทัพไทยจะปกป้องผืนแผ่นดินไทย…ด้วยความแม่นยำที่สุดและเด็ดขาดที่สุด
กองทัพไทยใช้เครื่องบินรบ โจมตีด้วยระบบนำร่องล็อกเป้าหมายแม่นยำ ไม่ใช่ปูพรมทำลายทั้งหมด
2. กัมพูชาใช้โบราณสถานเป็นฐานปฏิบัติการทหาร เป็นการละเมิดกฎหมาย มนุษยธรรมสากล และทำลายคุณค่าทางโบราณสถานอย่างร้ายแรง
สภาพของปราสาทตาควายที่ทหารกัมพูชาขนอาวุธปืนกลเข้าไปตั้งเป็นฐานรบ วางเครื่องกำบัง กางมุ้งป้องกันโดรน ทั้งวางทุ่นระเบิดไว้บริเวณโดยรอบ
นั่นแทบไม่เหลือสภาพความเป็นโบราณสถานด้วยน้ำมือทหารเขมรไปก่อนที่จะปะทะกันแล้ว
และเมื่อเกิดการปะทะ ทหารเขมรก็ใช้ปราสาทตาควายเป็นฐานยิงออกมาหมายสังหารทหารฝ่ายไทย
พื้นที่เขาพระวิหารก็แทบไม่ต่างกัน
โบราณสถานไม่ใช่สนามรบ
แต่กัมพูชากลับใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการทางทหาร มีการติดตั้งอาวุธ กล้องตรวจการณ์และระบบแอนตี้โดรนบนพื้นที่โบราณสถาน ถือเป็นการละเมิดหลักสากลที่ทุกประเทศต้องเคารพ
อนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1954 ว่ากรณีความขัดแย้งทางอาวุธ ซึ่งกำหนดให้โบราณสถาน ต้องได้รับการคุ้มครอง และห้ามการโจมตีหรือการกระทำใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย
แต่อนุสัญญาฯ มีข้อยกเว้นที่ระบุไว้ชัดเจนหากมีการนำโบราณสถานไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร เช่น การตั้งฐานที่มั่น การควบคุมการปฏิบัติการ การเป็นจุดซุ่มยิง หรือใช้เป็นพื้นที่เตรียมการโจมตี พื้นที่ดังกล่าวอาจ สูญเสียความคุ้มครองในทางกฎหมายเป็นการชั่วคราว ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหาร
.png)
.png)
ดังนั้น เมื่อฝ่ายกัมพูชาตั้งใจใช้อาณาบริเวณโบราณสถาน เป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร รวมถึงใช้เป็นที่ตั้งระบบตรวจการณ์ และที่ตั้งระบบอาวุธยิงเพื่อใช้โจมตีต่อฝ่ายไทย ทำให้พื้นที่ดังกล่าวจึงเข้าข่าย เป็นพื้นที่ที่ “สูญเสียความคุ้มครองชั่วคราว” ตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1954
ซึ่งกรณีพื้นที่ปราสาทตาควาย และ พื้นที่ปราสาทพระวิหาร ถูกฝ่ายกัมพูชานำมาใช้ เพื่อการปฏิบัติการทางทหาร โดยใช้เป็นที่ตั้งระบบอาวุธยิง เป็นคลังเก็บกระสุนวัตถุระเบิด และทุ่นระเบิด สำหรับใช้โจมตีทำร้ายฝ่ายไทย
ดังมีหลักฐานเป็นภาพปรากฏให้เห็นอยู่ตามสื่อโซเชียลได้ทั่วไป
ดังนั้น ฝ่ายกัมพูชาเองที่เป็นฝ่ายที่ทำผิดกฎหมายมนุษยธรรม และทำผิดกติกาสากลเอง รวมถึงเป็นฝ่ายที่ไม่เห็นคุณค่าในมรดกทางวัฒนธรรม
ฝ่ายไทยจึงมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะปกป้องภัยคุกคามเหล่านั้นได้ตามความเหมาะสมและได้สัดส่วน ตามหลักกติกาสากล เป็นไปตามความจำเป็นเนื่องจากฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้บีบบังคับ
3. พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุว่า กัมพูชายังปล่อยข่าวปลอมต่อเนื่อง หาว่า ไทยใช้อาวุธเคมี ซึ่งไร้สาระ ปราศจากพื้นฐานความจริงอย่างสิ้นเชิง
“ขอให้กัมพูชาหยุดปล่อยข่าวปลอม หรือข้อมูลบิดเบือนซ้ำๆ เพื่อหลอกลวงประชาชนของประเทศตนเอง รวมถึงนานาชาติ
เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏในพื้นที่ คือ กำลังทหารกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดปฏิบัติการต่อฝ่ายไทยตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ 7 ธ.ค.2568 โดยได้ระดมยิงด้วยปืนเล็กและอาวุธหนักต่อพื้นที่ประเทศไทย โดยไม่เลือกเป้าหมาย ทั้งในเขตชุมชนและสถานพยาบาล ดังเช่นช่วงเช้าวันนี้ ที่ตรวจพบว่ากัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 ลงพื้นที่ใกล้เคียงโรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์ รวมทั้งพื้นที่เขตชุมชนอื่นๆ ซึ่งไม่คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และหลักกติกาสากล ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต รวมถึงกระทบต่อการดำเนินชีวิตของพี่น้องประชาชนในหลายพื้นที่ชายแดนซึ่งถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศ ทำให้ไทยต้องดำเนินการตามสิทธิในการป้องกันตนเอง ตอบโต้ตามสถานการณ์ โดยยืนยันว่ามีเป้าหมายเฉพาะในพื้นที่ที่มีการปฏิบัติการทางทหาร ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยเท่านั้น
กองทัพบกขอปฏิเสธต่อข้อกล่าวหาที่ระบุว่า ไทยได้มีการยิงแก๊สพิษหรือควันพิษใส่ฝ่ายกัมพูชา ตามที่ได้มีการกล่าวอ้าง โดยปราศจากหลักฐานข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ จากกรณีที่กัมพูชาได้กล่าวว่ามีประชาชน หรือพื้นที่ของประเทศตน รวมถึงโบราณสถานที่สำคัญ อาทิ ปราสาทพระวิหาร และปราสาทตาควาย ได้รับความเสียหายนั้น จากหลักฐานการข่าวสามารถยืนยันว่ากัมพูชามีการใช้พื้นที่ชุมชนพลเรือน อาคารบ่อนกาสิโน และโบราณสถาน เป็นที่กำบังในการเปิดปฏิบัติการทางทหาร หรือใช้โล่มนุษย์ โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนประเทศตน
ล่าสุด ฝ่ายไทยตรวจพบว่าทหารกัมพูชาได้ใช้พื้นที่ตัวปราสาทพระวิหารเป็นสถานที่ปฏิบัติการทางทหาร ติดตั้งเครื่องยิงลูกระเบิด และปืนใหญ่ รวมทั้งระบบแอนตี้โดรน ที่เตรียมการโจมตีต่อฝ่ายไทย ทำให้เป็นหลักฐานอย่างชัดเจนว่า กัมพูชาไม่ได้ให้ความสำคัญและเคารพในสถานที่ทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว ซ้ำยังนำมาเป็นเครื่องมือหนึ่งในปฏิบัติการทางทหารด้วย
กองทัพบกขอประณามการกระทำของกัมพูชา ซึ่งละเมิดต่อข้อตกลงหยุดยิงทุกข้อ และหลักกฎหมายมนุษยธรรมสากลในทุกด้าน โดยขอให้ยุติการดำเนินการต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบในบริเวณกว้าง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการทางทหาร และขัดต่อแนวทางในการดำเนินการสู่สันติภาพ อันจะทำให้ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น”
4. ไทยปฏิบัติการตอบโต้การรุกราน ยึดหลักสากล
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงย้ำถึงจุดยืน 5 ข้อของประเทศไทย ได้แก่
“1. ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายริเริ่มในการรุกรานหรือการปฏิบัติการทางทหาร หากแต่เป็นฝ่ายกัมพูชาที่เป็นผู้ริเริ่มในการรุกรานเข้ามายังประเทศไทยทำให้ประเทศไทยต้องกระทำการปกป้องอธิปไตยของตัวเอง
2. ในการปฏิบัติการทางการทหารที่ผ่านมา ประเทศไทยดำเนินการอยู่ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ โดยยึดสิทธิในการป้องกันตนเอง
3. พลเรือนต้องปลอดภัยเป็นเป้าหมายสูงสุด
4. การดำเนินการครั้งนี้ของทัพไทย เป็นทางเลือกสุดท้ายในการปฏิบัติการ ไม่ใช่ทางเลือกแรก
5.ประเทศไทยยึดถือสันติภาพ แต่จะไม่ยอมให้ใครมาละเมิดอธิปไตย โดยใช้กำลังเท่าที่จำเป็นและได้สัดส่วน ไม่เกินกว่าเหตุ ที่สำคัญ คือ การแยกแยะเป้าหมายทางทหารทและพลเรือน ซึ่งต่างจากรูปแบบการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาที่ใช้อาวุธที่ส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชน
นอกจากนี้ กองทัพยังมุ่งปกป้องอธิปไตยของไทย ไม่ให้เกิดการรุกราน
และต้องการลิดรอนขีดความสามารถของกองกำลังฝ่ายกัมพูชาไม่ให้สามารถโจมตียังเป้าหมายของไทยได้ โดยให้ความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยของประชาชน และจะพยายามลดผลกระทบต่อพลเรือนให้มากที่สุด
ย้ำว่า ประเทศไทยต้องการสันติภาพ แต่ต้องมาพร้อมกับความปลอดภัยและความมั่นคงของประชาชนเป็นสำคัญ”
5. การสู้รบครั้งนี้ แม้จะเกิดภาพการทิ้งระเบิดใส่อาคารกาสิโน การทำลายฐานที่ตั้งทหารในบริเวณโบราณสถาน การตรวจค้นยิงบ้านพลเรือน (ที่ไม่มีพลเรือนอยู่แล้ว) ฯลฯ
ทั้งหมด ทหารไทยยืนยันปฏิบัติบนพื้นฐานหลักการข้างต้น
และฝ่ายที่เป็นต้นเหตุแท้จริง คือ กัมพูชา ที่ใช้วิธีสกปรกเอง ด้วยการใช้โบราณสถาน อาคารกาสิโน ตลอดจนบ้านเรือนพลเรือนเป็นโล่กำบังปฏิบัติการทางทหารโจมตีฝ่ายไทย
สารส้ม

ปชป. ร่อนแถลงการณ์ ซัด พรรคส้ม ออกลูกงอแงหวังประโยชน์แก้ รธน. ยอมเอา ‘อธิปไตยชาติ’ มาเสี่ยง
ยุบสภา อนุทิน ยันแล้ว คืนอำนาจให้ประชาชน
คอนเฟิร์ม! นายกฯอนุทิน ยื่นยุบสภาแล้ว เผยต่อรอง ปชน. ชี้ สั่ง สว.ไม่ได้ ไม่โหวตตัดอำนาจ
สะพัด อนุทิน ยื่นยุบสภาคาไว้แล้ว ตั้งแต่เย็นวันนี้ ตัดหน้า ‘ปชน.’ ล่าชื่อซักฟอกรัฐบาล
สื่อนอกตีข่าว เหตุปะทะเดือดชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือน2ประเทศอพยพแล้วครึ่งล้านคน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี