วันศุกร์ ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2568
“ชัยชนะของสงครามคือชัยชนะบนโต๊ะเจรจา” พูดอีกก็ถูกอีก เพราะชัยชนะที่แท้จริงของสงครามไม่ได้อยู่ที่การชนะในสนามรบเท่านั้น แต่อยู่ที่การบรรลุเป้าหมายและผลประโยชน์ที่ต้องการผ่านการเจรจาต่อรองหลังสงคราม
สงครามรอบสองที่กัมพูชาเป็นผู้ก่อ โดยเริ่มเปิดฉากทุกแนวรบตามแนวชายแดน“ไทย-กัมพูชา”ใน 7 จังหวัดของไทย ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2568 เป็นต้นมานั้น นับถึงวันนี้ 19 ธันวาคมก็เข้าวันที่ 12 ซึ่งฝ่ายกัมพูชายังไม่ยอมหยุด นั่นก็เท่ากับยังไม่ยอมขึ้นโต๊ะเจรจา หลังจากเป็นผู้ละเมิดข้อตกลง“ถ้อยแถลงร่วม” (Joint Declaration) ที่ได้มีการลงนามกันเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
การรบครั้งนี้ ฝ่ายไทยไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อต้องการจะยึดดินแดนกัมพูชาหรือประเทศกัมพูชา แต่เราทำสงครามเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติเรา ภายใต้หลักมนุษยธรรมที่กองทัพไทยยึดเป็นแนวปฏิบัติอย่างเคร่งครัด 7 ข้อ คือ 1.ไทยไม่ใช่ผู้เริ่มต้นเหตุความขัดแย้ง 3.หลีกเลี่ยงการโจมตีที่กระทบพลเรือน 4.ปฏิบัติการเฉพาะจุดที่เป็นภัยคุกคาม 5.การอพยพประชาชน เป็นการตัดสินใจของฝ่ายกัมพูชา ไม่ใช่ผลจากการปฏิบัติของฝ่ายไทย 6.ยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมสูงสุด และ 7.พร้อมมุ่งสู่สันติภาพที่ยั่งยืน
และการรบครั้งนี้ ไทยพร้อมที่จะขึ้นโต๊ะเจรจาทุกเมื่อแต่กัมพูชาจะต้องยอมรับในเงื่อนไขที่มิอาจปฏิเสธได้ คือ 1.กัมพูชาต้องประกาศหยุดยิงก่อน ในฐานะฝ่ายรุกราน 2.การหยุดยิงต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง และ 3. กัมพูชาต้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างจริงจัง ภายใต้อนุสัญญาออตตาวา เพื่อให้ไทยเชื่อมั่นว่ากัมพูชาจริงใจในการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี
ทั้ง 3 ข้อที่ว่านั้น หากกัมพูชายอมรับ การรบระหว่าง“ไทย-กัมพูชา”ทุกแนวรบก็จบ และไม่เกี่ยวกับประเทศที่ 3 หรือใครที่อาสามาเป็นตัวกลาง หรือแม้กระทั่งทูตพิเศษด้านกิจการเอเชียของกระทรวงการต่างประเทศจีน ที่ถูกส่งมาไกล่เกลี่ยเพื่อช่วยคลี่คลายความตึงเครียดและบรรเทาสถานการณ์ โดยหวังจะผลักดันให้ทั้งไทยและกัมพูชาเดินหน้าเข้าหากัน และฟื้นฟูสันติภาพโดยเร็ว ซึ่งจีนออกตัวว่า มาในฐานะมิตรประเทศและมีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เรื่องนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล ผู้นำไทย พูดชัดเจนจากการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม เมื่อวานนี้ว่า “ถ้าใครจะพูด ก็ให้ไปพูดว่า ให้ทางกัมพูชาหยุดยิงเราเถอะ หยุดทำร้ายประเทศไทย ประเทศไทยไม่เคยทำอะไรเขาก่อน มีแต่เพียงการปกป้อง และตอบโต้ ซึ่งไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ว่าไทยไปรุกรานประเทศเพื่อนบ้านรอบทิศ ถอนทหาร ถอนอาวุธถอนทุ่นระเบิด เราทำ ปราบสแกมเมอร์เราทำหนักเลย กลับไปที่กัมพูชา ถอนหรือเปล่า ถอนแป๊บๆ ถอนคน แต่อาวุธยังอยู่ ไม่ทำเท่าประเทศไทย ทุ่นระเบิดจัดการให้มันระเบิด ไม่ได้จัดการถอน สแกมเมอร์ไม่ได้ทำเลย ประเทศไทยต้องทำทุกอย่าง บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว ก็ไม่ร่วมบริหารจัดการ แล้วคนที่อยากให้เจรจากันควรจะไปบอกใคร ระหว่างคนตีกับคนถูกตี”
ส่วนสถานการณ์จะจบลงเมื่อใดนั้น นายอนุทินชาญวีรกูล ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า “เรารักษาอธิปไตย เกียรติภูมิแผ่นดิน ความปลอดภัยของประชาชน เรายังทำแค่นี้อยู่ ยังไม่มีเป้าหมายอื่น”
ขณะที่ “บิ๊กเล็ก-พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็พูดชัดเจนแบบไม่ต้องตีความให้มากเรื่องแบบ“นักวิจารณ์ข้างสังเวียน” ประเภท“คุณเสี้ยม คุณแซะ”ที่ทำตัวราวกับว่าไม่ใช่คนไทย ในยามที่ชาติบ้านเมืองต้องการความรักความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อจัดการกับกัมพูชาผู้รุกราน ทั้งนี้ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ฝ่ายเราจะหยุดยิงก็ต่อเมื่อกัมพูชาสิ้นสุดเป็นปฏิปักษ์กับประเทศไทยอย่างชัดเจน
“บิ๊กเล็ก”กล่าวว่า “ถ้าเขาอยากหยุดยิงก็หยุด แล้วถอนกำลังที่เผชิญหน้าออกไป เราไม่มีการไล่ยิงตามยิงถึงพนมเปญอยู่แล้ว ถ้าเขาอยากหยุดยิง ก็ต้องทำให้เราเห็นก่อน ไม่ใช่ดีแต่พูด และไม่ทำ ที่เคยพูดอย่างเสมอ รัฐบาลกัมพูชาพูดอยู่เสมอ แต่แนวหน้าไม่ทำตาม เราก็อยากที่จะยุติ แต่เขายังมีความเป็นปฏิปักษ์ เราก็ต้องป้องกันตัวเอง ซึ่งเราห่วงกำลังพล และประชาชนที่ต้องไปอยู่ศูนย์พักพิง”
เพราะฉะนั้น สถานการณ์การสู้รบในวันนี้ เมื่อกัมพูชายังไม่ยอมหยุดยิง ฝ่ายเราก็ต้องเดินหน้ารบต่อเพื่อเผด็จศึกให้ได้ โดยฝ่ายกัมพูชายังใช้“BM-21”และปืนใหญ่ ตลอดจนโดรนพลีชีพ ระดมยิงและเข้าทำลายทุกแนวรบที่ฝ่ายเรายังไม่สามารถยึดและสถาปนาได้ หนักหน่วงที่สุดก็คือ “เนิน 350” บริเวณปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งจากการแถลงของกองทัพไทยเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมเมื่อวานนี้นั้น กัมพูชายังคงรุกคืบโจมตีอย่างหนัก และทหารฝ่ายเราต้องพลีชีพเป็นจำนวนมาก และมี2 นายที่พลีชีพจากการปะทะเมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา ยังไม่สามารถนำร่างออกมาได้ คือ จ่าสิบเอกสำเริง คลังประโคน และพลทหารภาณุพัฒน์ เสาร์สา สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23
สรุปภาพรวมของสถานการณ์การสู้รบ หากเป็นภาพยนตร์สงคราม ก็ต้องถือว่าเดินมาถึงฉากสุดท้ายใกล้บทอวสานแล้ว ถ้าหากฝ่ายเรายึด“เนิน 350”ได้สำเร็จ ก็หมายถึงชัยชนะในการศึกครั้งนี้
ส่วน“เนิน 350”ทำไมถึงยึดได้ยากเย็นนั้น “พีระชาติอินตา” นายทหารที่เคยประจำอยู่ในสมรภูมิรบนี้ ได้ไขความกระจ่างจากการโพสต์ลงในเฟซบุ๊กของเขาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า “มันไม่ใช่เนินเขาป่ารกธรรมดา แต่คือนรกที่มองไม่เห็น” ต่อให้นำ“F-16” หรือ“Gripen”ไปเสิร์ฟไข่ ก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะฐานที่มั่นแห่งนี้ กัมพูชาได้ยึดครองไว้นานแล้ว มีการสร้างบังเกอร์ใต้ดิน อุโมงค์ลำเลียง รวมทั้งเส้นทางหลบหนี จึงเป็นฐานที่มั่นที่ซ่อนลึกกว่าที่การ“เสิร์ฟไข่”จะจัดการได้
นึกภาพตามที่“พีระชาติ อินตา”บรรยายแล้ว ก็ไม่ต่างจาก“อุโมงค์กู๋จี”ของ“เวียดมินห์ หรือเวียดนามเหนือ”ภายใต้การนำของ“โฮจิมินห์”ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และผู้นำนักปฏิวัติ ที่สามารถใช้เป็นฐานเอาชนะสงครามรุกรานจากฝรั่งเศสได้ในปี 2497 และจำลองมาใช้ต่อในสงคราม“เวียดนาม”ที่ทำให้สหรัฐอเมริกาต้องพ่ายแพ้ในปี 2518
และนั่นก็คือ “เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ข้าตีเอ็งหนีข้าตาม” อันเป็นกลศึกของ“เหมา เจ๋อตุง”ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนและผู้นำการปฏิวัติจีน ที่“โฮจิมินห์”ได้นำกลศึกนี้มาใช้จนมีชัยชนะเหนือข้าศึก และก็เฉกเช่น“เนิน 305”ที่เป็น“งานหิน”ของทหารไทย
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ทีมข่าว“แนวหน้าออนไลน์”ได้สรุปไว้ในบทวิเคราะห์“ยุทธการชิงเนิน 350 “ไทย-กัมพูชา” ใครยึดได้ชนะทั้งสมรภูมิ!” ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมวานนี้ว่า “เนิน 350 จึงไม่ใช่หนึ่งในหลายสมรภูมิ แต่เป็นสมรภูมิสุดท้ายของยุทธการครั้งนี้”
อดใจรอ-ถึงอย่างไรก็เชื่อว่า ทหารกล้าแห่งกองทัพไทยต้องเอาชัยชนะเหนือข้าศึกได้ และสถาปนาพื้นที่แห่งนี้ พร้อมอัญเชิญ“ธงไตรรงค์”ขึ้นสู่ยอดเสา ภายในเวลาอันใกล้นี้ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี