เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา คนไทยทั้งประเทศต่างโศกเศร้าเสียใจ เนื่องจากในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ณ ท้องสนามหลวงหรือทุ่งพระเมรุในอดีตซึ่งใช้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงศานุวงศ์ แม้หลายคนจะไม่ได้ไปร่วมงานพระราชพิธี ณ ท้องสนามหลวง แต่ในทุกจังหวัดต่างจัดให้ประชาชนถวายดอกไม้จันทน์พร้อมกับแสดงความอาลัยครั้งสุดท้าย
ตามประวัติศาสตร์ชาติไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย พระมหากษัตริย์นอกจากทรงเป็นผู้นำก่อตั้งพระราชอาณาจักรแล้ว ยังทรงทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและระเบียบประเพณีต่างๆ ในการดำรงชีวิต เป็นแบบอย่างให้ประชาชน รวมถึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสืบทอดมาถึงปัจจุบัน หลักฐานที่ปรากฏการจัดพระราชพิธีพระบรมศพอันเก่าแก่ที่สุดปรากฏในหนังสือไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วง
งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ ในสมัยรัตนโกสินทร์เป็นโบราณราชประเพณีที่มีแบบแผนธรรมเนียมมาแต่ครั้งสมัยอยุธยาตอนปลาย มีความสำคัญทัดเทียมกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แม้จะมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดปลีกย่อยของพระราชพิธีอยู่บ้าง ตามยุคตามสมัยและสภาวะของสังคม แต่ยังคงยึดถือคติตามที่กล่าวในไตรภูมิกถาอย่างมั่นคง มีการประดิษฐานพระบรมศพบนพระเมรุมาศ ซึ่งเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุ ล้อมรอบด้วยเขาสัตตบริภัณฑ์ เพื่อเป็นการส่งดวงพระวิญญาณกลับสู่สรวงสวรรค์อันเป็นที่สถิตของเทพยดาทั้งหลาย
พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 คนไทยทั้งประเทศได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นศูนย์รวมจิตใจปวงชนชาวไทย และแสดงออกถึงความสามัคคี รวมใจเป็นหนึ่งเดียวเพื่อส่งเสด็จพระองค์สู่สวรรคาลัย แม้แดดร้อนหรือฝนตกมากแค่ไหน แต่ประชาชนไทยมิได้ย่อท้อแต่อย่างใด บางคนไปเฝ้ารอข้ามวันข้ามคืนเพื่อจะได้ร่วมงานพระราชพิธีดังกล่าว และรอชมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ซึ่งภาพใหญ่ของงานพระราชพิธีฯ ณ ท้องสนามหลวง เมื่อถึงเวลาจริง ประชาชนต่างอยู่ในความสงบเรียบร้อย จนเสร็จสิ้นพระราชพิธีฯโดยไม่เกิดเหตุวุ่นวายแต่ประการใด เป็นภาพที่สวยงามปรากฏแก่สายตาชาวโลก สมพระเกียรติเป็นอย่างยิ่ง
ภายหลังเสร็จสิ้นงานพระราชพิธีฯ ทุกคนแยกย้ายกลับบ้าน ทิ้งไว้แค่ความทรงจำว่า ครั้งหนึ่งทุกคนได้แสดงความจงรักภักดีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ อย่างไรก็ดีแม้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยความสงบเรียบร้อย แต่กลับปรากฏภาพขยะกลาดเกลื่อนในหลายสถานที่จัดถวายดอกไม้จันทน์ เช่น บริเวณถนนจักรเพชร ปากคลองตลาด ในกรุงเทพฯ กลายเป็นประเด็นกล่าวถึงในโซเชียลมีเดีย เพราะหลังจากประชาชนกลับ ก็ไม่ได้เก็บขยะที่อยู่รอบตัวหรือบริเวณข้างๆ ไปด้วย กลายเป็นขยะกองใหญ่ คนเห็นภาพจึงวิจารณ์ไปต่างๆ นานาว่า ทำไมทำแบบนี้ เมื่อลุกขึ้นหรือกลับก็ควรจะเก็บไปทิ้งด้วย ควรมีความรับผิดชอบต่อสังคม ยิ่งเป็นงานถวายความอาลัยในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยแล้ว ยิ่งไม่สมควร
แต่ต่อมาภาพขยะกองใหญ่ดังกล่าวได้ปรากฏความจริงอีกด้านหนึ่งว่า เหตุผลที่ทุกคนไม่เก็บ เพราะจิตอาสาแจ้งว่า “สิ่งไหนไม่เอาไป ให้ทิ้งไว้ เดี๋ยวจิตอาสาจะมาจัดการเก็บเอง” และรู้ว่าทุกคนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ต้องเดินทางกลับต่างจังหวัด เพราะมารอเป็นเวลานานหลายชั่วโมงกว่าจะได้เข้าถวายดอกไม้จันทน์ จิตอาสาจึงขอเป็นคนเก็บไปทิ้งเอง ด้วยความเห็นใจทุกคนที่มาร่วมงานพระราชพิธี
เรื่องขยะ เมื่อมีคนจำนวนมากมารวมตัวกัน มักมีปัญหาเรื่องการเก็บกวาดเสมอ เช่น กล่องโฟม ขวดและถุงพลาสติก เศษกระดาษและเศษอาหาร หากไม่มีถังขยะ ถุงพลาสติกขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่คอยให้บริการหรือคอยเก็บกวาด และไม่มีการบริหารจัดการที่ดีเพียงพอ ย่อมกลายเป็นกองขยะมหาศาล ในส่วนงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพนั้น กรุงเทพมหานครได้เตรียมพร้อมเป็นอย่างดี เพราะก่อนหน้านี้เป็นเวลา 1 ปี มีประชาชนจำนวนมากเดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพแม้ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยบ้างบางจุด แต่เจ้าหน้าที่ได้จัดการ จึงไม่มีปัญหา ประกอบกับมีจิตอาสาช่วยถือถุงพลาสติกขนาดใหญ่เดินให้ประชาชนนำขยะในมือมาใส่ ระหว่างรอ ไม่ต้องลุกจากที่นั่ง เป็นการให้ความสะดวก
หากเป็นงานเทศกาลหรืองานประเพณีอื่นๆ เราจะเห็นว่า ขยะถูกทิ้งเกลื่อนกลาดในงาน แม้จะมีถังขยะอยู่ใกล้ๆ แต่บางคนไม่ยอมทิ้งในถัง หรือถ้าถังเต็ม ก็จะวางขยะไว้ข้างๆ ถัง ต้องรอให้พนักงานมาเก็บขยะในวันรุ่งขึ้น แทนที่ทุกคนจะช่วยกันคนละไม้คนละมือเก็บไปเอง ต่างกับในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น คนที่ไปเที่ยวจะพบเห็นว่าบ้านเมืองดูเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน สบายตา ไม่ค่อยมีเศษขยะ กระดาษทิสชู เปลือกผลไม้และอื่นๆ หล่นตามพื้น ถ้ามี ก็จะมีคนมาเก็บโดยเร็ว แสดงถึงความมีระเบียบวินัยของคนญี่ปุ่น และยังมีการคัดแยกขยะที่ดี รวมถึงกำหนดวันเวลาและพื้นที่ทิ้งขยะอีกด้วย
นอกจากนั้น หลังจากเสร็จสิ้นงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ทางราชการได้จัดให้ประชาชนสามารถเข้าชมนิทรรศการพระเมรุมาศ ซึ่งมีผู้หลั่งไหลเข้าชมจำนวนมากเพียงแค่สองวันแรกมียอดรวมหลายหมื่นคน แต่กลับมีเรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้นจนได้ เนื่องจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดจิตสำนึก ไม่รู้กาลเทศะ มีกลุ่มนักศึกษาวัยรุ่นมาถ่ายรูปเซลฟี่ ทำหน้าตาไม่สำรวม ชูสองนิ้วกับพระเมรุมาศลงโซเชียลมีเดีย และมีอีกกลุ่มหนึ่งไปหยิบจับพระเมรุมาศ เก็บก้อนหิน ก้อนดิน รวมถึงดอกไม้ในงานกลับบ้าน จนสุดท้ายทางราชการงดการเข้าชมพระเมรุมาศบริเวณชั้นหนึ่งและชั้นสอง ทำให้คนอื่นที่จะเดินทางไปเข้าชม อดเข้าชมไปด้วยเพียงเพราะการกระทำของคนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น
แม้ว่างานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ผ่านพ้นไปแล้ว และโดยภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพราะการร่วมแรงร่วมใจกันของทุกภาคส่วน แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่ยังขาดความรับผิดชอบและจิตสำนึกที่ทำให้เกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาในสังคม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี