คีรีบาส เป็นประเทศที่เป็นเกาะ อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนตอนกลาง ประกอบด้วยหมู่เกาะปะการัง 33 แห่งกระจายทั่วพื้นที่ 3,500,000 ตารางกิโลเมตร ใกล้เส้นศูนย์สูตรคีรีบาสมีเนื้อที่พื้นดินเพียง 719 ตารางกิโลเมตร
คีรีบาส มีชื่อเป็นทางการว่า สาธารณรัฐคีรีบาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Kiribati แต่ไม่ออกเสียงว่า คีรีบาติ ตามที่สะกด เพราะตามภาษา อินคิริบาส (I-Kitibati) ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น ตัว T จะออกเสียงเป็น ส หรือ ซ จึงเรียกชื่อประเทศว่า คีรีบาส ไม่ใช่ คีรีบาติ ตามที่สะกดเป็นภาษาอังกฤษ เริ่มใช้ชื่อประเทศว่า คีรีบาส เมื่อปีพ.ศ. 2522 หลังจากได้รับเอกราชจากประเทศอังกฤษ
คำว่า คีรีบาส หรือ Kiribati เป็นคำที่มาจากชื่อของ กัปตัน โทมัส กิลเบิร์ด (Thomas Gilbert) ผู้ที่เดินทางมาพร้อมกับ กัปตัน จอห์น มาร์แชล (John Marshall) ที่พบหมู่เกาะแห่งนี้เมื่อปี 1788 (พ.ศ. 2331) จึงได้ตั้งชื่อหมู่เกาะแห่งนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่ กัปตัน โทมัส กิลเบิร์ด โดยใช้ชื่อว่าGilbert ซึ่งเป็นนามสกุล และเมื่อออกเสียง แบบคนพื้นเมืองจึงกลายมาเป็นชื่อประเทศ คีรีบาส ในปัจจุบัน ชื่อเดิมของหมู่เกาะแถบนี้คือ หมู่เกาะกิลเบิร์ด (Gilbert Island)
คีรีบาส เป็นประเทศที่ประกอบด้วย หมู่เกาะที่เกิดจากปะการัง (Atoll) และแนวหินโสโครก ประเทศนี้ถือเป็นประเทศที่จะได้เห็นแสงแรกแห่งรุ่งอรุณของวันขึ้นปีใหม่ของโลก เป็นประเทศแรก ก่อนประเทศอื่นๆ เพราะตั้งอยู่บนเส้นแวงที่ 180 องศา ตามมาตรฐานเส้นแบ่งเขตตะวันของโลก
คีรีบาส ถูกจัดว่าอยู่ในกลุ่มประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก เพราะมีรายได้ต่อหัวต่อปีต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐทั้งที่ในอดีตประเทศนี้ เคยมีรายได้มหาศาลจากการส่งออก ฟอสเฟต จากเกาะบานาบา ซึ่งเป็นแร่สำคัญในการผลิตปุ๋ย ต่อมา ฟอสเฟต ได้หมดลงในปีพ.ศ. 2522 จึงทำให้กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง (ฟอสเฟต เป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในแถบหมู่เกาะแถบนี้ ประเทศอื่นก็มีรายได้หลักจากการขุดแร่นี้เช่นกัน)
ต่อมา คีรีบาส จึงมีรายได้หลักจากสัมปทานการประมงการส่งออกแรงงานไปต่างประเทศ และการท่องเที่ยว รวมทั้งการได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ
คีรีบาส มีประชากรน้อยมาก ประมาณ 120,000 คน ร้อยละ 98 เป็นชาวไมโครนีเซีย มีเมืองหลวงชื่อ ตาราวา (Tarawa) ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก และนิกายคีรีบาสโปรเตสแตนต์ มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ เพราะเคยตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษมาก่อน
การปกครองของประเทศเป็นแบบสาธารณรัฐมีประธานาธิบดี เป็นประมุขของประเทศ และเป็นผู้บริหารประเทศ ดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้ไม่เกิน 3 วาระ
ประเทศนี้มีเพียงสภาผู้แทนราษฎร เพียงสภาเดียว ไม่มีวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 46 คน มาจากการเลือกตั้ง 44 คน มาจากการแต่งตั้งจาก Banaban Community1 คน และอัยการสูงสุด 1 คน
เหตุที่ให้ความสำคัญแก่ ชุมชนบานาบา เป็นอย่างมากเพราะชาวเกาะบานาบา ได้เคยมีความพยายามแยกตัวไปอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของประเทศฟิจิ อีกทั้งเกาะบานาบา เคยเป็นที่ทำเหมือง ฟอสเฟต ที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศมาก่อน
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้เข้ายึดหมู่เกาะประเทศคีรีบาส เพื่อใช้เป็นฐานทัพในการสู้รบ ต่อมากลุ่มประเทศพันธมิตรได้บุกยึดหมู่เกาะแห่งนี้คืนกลับมา
คีรีบาส อาจดูเหมือนว่าเป็นประเทศที่มีขนาดเล็ก และไม่น่าสนใจมากนัก แต่กลับได้รับความสนใจจากทั่วโลกในปัจจุบัน เพราะนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า จากสาเหตุโลกร้อน ที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นทุกวัน เป็นเหตุให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คีรีบาส เป็นประเทศที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 3 เมตร เท่านั้น มี 2 เกาะของประเทศนี้ที่จมน้ำทะเลไปแล้ว เมื่อปีพ.ศ. 2542 คือ เกาะ Tebua Tarawa และเกาะ Abanuea
ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา หมู่เกาะแถบนี้น้ำทะเลสูงขึ้น 5 เซนติเมตร ต่อมานักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า น้ำทะเลจะสูงขึ้นอีกถึง 50 เซนติเมตร และจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปี 2100 (พ.ศ. 2643) ประมาณ 76 ปีข้างหน้า หรืออาจเร็วกว่านั้น คีรีบาส จะเป็นประเทศแรกในโลก ที่จมอยู่ใต้มหาสมุทร และตามด้วยประเทศมัลดีฟส์ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ
ชาวคีรีบาส ที่มีการศึกษาและความรู้ ต่างพยายามหาช่องทาง ไปประกอบอาชีพในประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศออสเตรเลีย และประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อเป็นการปูทางให้ครอบครัวและญาติพี่น้องเดินทางอพยพย้ายไปอยู่สองประเทศนี้
ขณะนี้ ทั้งประเทศออสเตรเลียและประเทศนิวซีแลนด์ ต่างมีแผนที่จะรับผู้อพยพจากคีรีบาส ในชั้นนี้ได้เริ่มโดยการคัดเลือกบุคคลที่มีคุณภาพ และโดยการสุ่มเลือกจากการจับสลาก
ประชากรคีรีบาสส่วนใหญ่ มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่สู้ดีนัก แม้จะตระหนักอยู่บ้างว่า วันหนึ่งประเทศนี้จะจมลงใต้ทะเล แต่ยังต้องคำนึงถึงปากท้อง ต้องดิ้นรนกันประกอบอาชีพประจำวัน แต่อาจไม่มีความคาดหวัง ในอนาคตมากนัก เพราะนับวันประเทศมีแต่นับถอยหลัง จะมีแต่เพียงประชากร ที่มีความรู้ และการศึกษา ที่พยายามหาช่องทางไปอยู่ต่างประเทศตลอดเวลาเท่าที่มีโอกาส
แม้คีรีบาสเป็นประเทศที่เริ่มนับถอยหลัง และไม่น่ามีการลงทุนจากประเทศอื่นเข้ามาในคีรีบาส แต่กลับมีนักลงทุนจากประเทศจีนเข้ามาประกอบกิจการค้าขายใน คีรีบาส
โดยการตั้งร้านขายสินค้าอุปโภคและบริโภคประจำวัน และยังเปิดร้านค้าขนาดใหญ่ เป็นอาคาร 2 ชั้น แม้ว่าไม่ได้จัดร้านให้ทันสมัย มีสภาพเหมือนร้านค้าในประเทศไทยเมื่อประมาณ40-50 ปีที่แล้ว ไม่ได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ แม้การจัดวางสินค้าจะดูไม่ทันสมัยอยู่บ้าง แต่ก็แยกเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจนแสดงว่าคนจีนยังมองเห็นช่องทางในการทำธุรกิจ จากการขายของเครื่องใช้อุปโภค-บริโภคประจำวัน เพราะยังมองว่า สามารถค้าขายได้ไปอีกหลาย 10 ปี
ข้อคิดจากประเทศ คีรีบาส แห่งนี้ อาจมองได้ว่า การที่ประเทศพึ่งพาเศรษฐกิจที่มีรายได้จากทางเดียวมากเกินไป เมื่อทรัพยากรสำคัญหมดไปกะทันหัน โดยขาดการวางแผน ประเทศจะประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจทันที คล้ายกับประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง ที่ปัจจุบันมีรายได้หลักจากการขุดน้ำมัน หลายประเทศในตะวันออกกลางเริ่มวางแผนไว้ว่า หากวันหนึ่งน้ำมัน ซึ่งเป็นทรัพยากรอันมีค่าหมดไป ผู้บริหารประเทศจะต้องทำอย่างไร และเริ่มหาช่องทางอื่น ในการหารายได้เข้าประเทศ
สิ่งหนึ่งที่คล้ายกับประเทศไทยในตอนนี้คือ กรุงเทพมหานคร ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเมืองสำคัญ ที่มีความเสี่ยงจะจมใต้น้ำทะเลเช่นกัน แต่ผู้บริหารประเทศ หลายยุคหลายสมัย รวมทั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่บริหารเมืองนี้ ไม่ได้เริ่มให้ความสนใจวางแผนแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง จะเห็นได้ชัดเจนจากพื้นดินแถบบางขุนเทียน ในกรุงเทพมหานคร ได้ถูกกัดเซาะกลายเป็นพื้นน้ำทะเลไปแล้ว สิ่งที่หลงเหลือเป็นหลักฐานว่า เคยเป็นพื้นแผ่นดินในกรุงเทพมหานคร มาก่อน เช่น เสาไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ในน้ำทะเล วัดและโบสถ์บางแห่ง ที่จมน้ำทะเลไปแล้ว
อีกแง่มุมหนึ่ง สำหรับคนไทย ที่บ่นเบื่อประเทศไทยไม่อยากอยู่ประเทศนี้ อยากย้ายไปอยู่ประเทศอื่น น่าจะย้ายไปอยู่ประเทศคีรีบาสดูบ้าง จะได้รับทราบบรรยากาศของประเทศที่กำลังนับถอยหลัง และอาจย้อนคิดถึงสิ่งดีๆ ในประเทศไทยบ้าง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี