ข่าวตำรวจรวบตัวแหม่มชาวฝรั่งเศส อายุ 45 ปี เมื่อเมษายน 2567 หลังจากที่ได้รับแจ้งความ จากผู้เสียหายเป็นครอบครัวไฮโซ ว่ามีพฤติกรรมเป็น สมาคมลับ กำลังนัดหมายตระเตรียมการปล้น และลักพาตัวลูกสาว เพื่อเรียกค่าไถ่เป็นเงิน 200 ล้านบาท ซึ่งมีพยานหลักฐานและพฤติการณ์เพียงพอน่าเชื่อได้ว่า ผู้ต้องสงสัยรายนี้จะกระทำการก่อเหตุดังกล่าวจริง
คณะตำรวจซึ่งรับผิดชอบสืบสวนจำกุมได้ขอหมายจับศาลอาญา ในข้อหา “กระทำการเป็นอั้งยี่” รุดเข้าจับกุมตัวได้ที่โรงแรมย่านสีลม ซึ่งเป็นแหล่งที่พักล่าสุด หลังจากมีพฤติการณ์ตระเวนเช่าพักตามโรงแรมย่านสุขุมวิท กับแฟนหนุ่มชาวเลบานอน เพื่อนัดหมายและเตรียมการก่อเหตุ
ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ให้การอ้างว่า ถูกหลอกให้ร่วมลงทุน สูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก และต้องการเรียกร้องเงินที่สูญเสียจากการลงทุนคืน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้และแสดงหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ความจริงต่อไปในกระบวนการยุติธรรม เมื่อเป็นเพียงผู้ต้องหา ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ เพราะศาลยังไม่ได้ตัดสินว่าเป็นผู้กระทำความผิด
สิ่งที่น่าประทับใจคือ คลิปการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจกรณีนี้ ที่เผยแพร่ในอินเตอร์เนต ได้รับคำชมเชยเป็นอย่างมากว่า ดำเนินการเป็นอย่างดี มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พูดภาษาอังกฤษ เก่งอธิบายหมายจับและข้อกล่าวหาให้แหม่มฝรั่งเศสทราบ รวมทั้งสิทธิ ของผู้ต้องหาตามกฎหมายไทย เช่น สิทธิพบทนายความ, สิทธิแจ้งให้ญาติ ทราบเพื่อให้มาประกันตัว, สิทธิในการแก้ข้อกล่าวหา, สิทธิที่ได้รับการพบแพทย์เมื่อไม่สบาย
ผู้ที่ได้ชมคลิปการจับกุม ต่างมีความรู้สึกเหมือนกับกำลังชมภาพยนตร์ฝรั่ง ที่มีฉาก ตำรวจจับกุมผู้ต้องหา แล้วแจ้งสิทธิให้ผู้ต้องหาทราบ ทำให้ได้แต่สะท้อนใจว่า เมื่อผู้ต้องหาที่เป็นคนไทยถูกจับกุม จะได้รับการแจ้งสิทธิตามกฎหมายทุกครั้ง เหมือนอย่างที่แหม่มชาวฝรั่งเศสคนนี้ได้รับโอกาส หรือไม่ ?
ผู้ที่ติดตามข่าว เริ่มมีข้อสงสัยในใจว่า แหม่มฝรั่งเศสคนนี้ถูกตั้งข้อหาการกระทำอันเป็นอั้งยี่ ซึ่งเป็นที่เข้าใจว่า หมายถึงการกระทำ ที่เป็นสมาคมลับและมีความมุ่งหมายที่จะกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งคำว่า อั้งยี่ ตามความเข้าใจ เป็นสมาคมลับของชาวจีนแต่เมื่อแหม่มฝรั่งเศสถูกตั้งข้อหานี้ ฟังดูแล้วเหมือนย้อนแย้งในตัวเอง
ตามประวัติศาสตร์ สมาคมลับของชาวจีน ที่กระทำผิดกฎหมาย เริ่มมีขึ้นในประเทศไทยครั้งแรก ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) สมัยก่อนเรียกว่า ตั้วเหี่ย มาเปลี่ยนเป็น อั้งยี่ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)
ช่วงก่อนปีพ.ศ. 2500 ยังมีสมาคมลับแบบอั้งยี่ของคนจีน ที่ข่มขู่และเรียกร้องเงินจากนักธุรกิจ หากไม่ได้เงินตามที่เรียกร้อง จะถูกสมาชิกของอั้งยี่ตามปลิดชีวิต โดยใช้กรรไกรเพียงขาเดียว แอบลอบแทงพุงเหยื่อจนถึงแก่ความตาย และถือเป็นสัญลักษณ์ว่า กระทำการโดยอั้งยี่ เพื่อให้เกิดความเกรงกลัว
ตามประมวลกฎหมายอาญา ได้บัญญัติการกระทำความผิด เกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน
“มาตรา 209 ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคล ซึ่งปกปิดวิธีดำเนินงานและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาท
ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า ผู้จัดการหรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในคณะบุคคลนั้น ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท”
ตามหลักทั่วไป ของกฎหมายอาญาการตระเตรียมเพื่อกระทำความผิด ไม่ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ยกเว้นแต่เป็นการจัดเตรียมในเรื่องสำคัญ และร้ายแรง เช่น ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ในเรื่องความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และในเรื่อง ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในและภายนอกอาณาจักร เช่น ตระเตรียมการเพื่อล้มล้าง หรือเปลี่ยนแปลง รัฐธรรมนูญ อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ แบ่งแยกราชอาณาจักร, ตระเตรียมการรบของข้าศึก
ดังนั้น ที่ว่าแหม่มฝรั่งเศสตระเตรียมการเพื่อกระทำความผิดตามข่าว จึงไม่ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย แต่อาจผิดฐานเป็นสมาคมลับแบบอั้งยี่ ซึ่งตำรวจได้ตั้งข้อหาที่ ตรงหรือใกล้เคียงกับการกระทำความผิดที่ถูกกล่าวหามากที่สุด
กรณีแหม่มฝรั่งเศส ทำให้ข้อหา อั้งยี่ที่ผู้คนอาจลืมไปแล้ว กลับมาอยู่ในความสนใจ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้งหนึ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี