ดูเหมือนว่า ระยะนี้ทุกมุมของโลกจะลุกเป็นไฟด้วยอุบัติภัยต่างๆ อย่างน่าวิตก ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ขับรถบรรทุกพุ่งชนชาวฝรั่งเศสในนีซ คาร์บอมส์ในอัฟกานิสถาน ไปจนถึงล่าสุด การกราดยิงในเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี ยังไม่นับสงครามต่างๆ ที่กระจายอยู่ในหลายทวีปจนดูเหมือนว่า โลกใบนี้แตกร้าวเป็นเสี่ยงๆและพร้อมที่จะถูกทำลายลงได้ทุกเมื่อ
โศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นทุกมุมโลกนี้ ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเลวร้าย ลุงแซมในฐานะ "พ่อทุกสถาบัน" เรื่องสิทธิมนุษยชนก็ออกปากประณามไปเรื่อยตามบทบาทตำรวจโลกที่ชอบเห่าเสียงดังเข้าไว้ ทั้งๆ ที่หากจะเว้ากันซื่อๆ แล้ว ประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็คือลุงแซมเองนั่นแหละ ตั้งแต่การปล้นแผ่นดินอินเดียนแดงโน่นเลยเชียว
ลุงแซมเป็นพวกปากว่าตาขยิบ ปัญหาในบ้านตัวเองทำเป็นมองไม่เห็น ปัญหาระดับบิ๊กๆ อย่างปัญหาการเลือกปฎิบัติระหว่างสีผิว ซึ่งพยายามเหลือเกินที่จะสร้างภาพว่า มีความเท่าเทียมกันในพลเมืองมะริกัน แต่วันร้ายคืนร้าย ฝุ่นใต้พรมในบ้านลุงแซมก็กระจายฟุ้งประจานเจ้าของบ้านอยู่ร่ำไปว่า คนผิวสีในอเมริกาไม่ได้รับความเท่าเทียมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสิทธิทางสังคม อีกทั้งยังถูกเลือกปฎิบัติจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเสมอมา มีการตัดสินคดีความสองมาตรฐานระหว่างคนสองสีผิว จนตอนนี้เกิดการสะสางล้างแค้นด้วยการที่คนผิวสีลอบยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นการเอาคืน กระนั้นลุงแซมพยายามยืดอกบอกโลกด้วยมาดพระเอกว่า ตัวเองเปี่ยมไปด้วยความเท่าเทียมและเสรีภาพทุกตารางนิ้ว ทั้งๆ ที่กลุ่มเคเคเคกับฝูงเสือดำคืนชีพขึ้นมาใหม่เหมือนผีลืมหลุมและจะงับคอกันอยู่รอมร่อ
ลุงแซมชอบอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชนจนน้ำลายฟูมปากอยู่บ่อยๆ แถมยังสร้างภาพให้ชาวโลกเข้าใจว่า บ้านของลุงแซมเอง นั้นเปี่ยมไปด้วยหลักการประชาธิปไตย และพิทักษ์หลักสิทธิมนุษยชนอย่างสุดชีวิต ชาวบ้านร้านถิ่นจึงมักเห็นลุงแซมไปเจ้ากี้เจ้าการกับประเทศอื่นๆ ในเรื่องสิทธิมนุษยชนอยู่บ่อยๆ เว้งแตกใส่อย่างวางอำนาจว่า ประเทศนั้นนี้ละเมิดสิทธิมนุษยชน ไอยอมไม่ด๊ายยยยย ป่าเถื่อนที่สุด
ลุงแซมเต้นแท้ปไปรอบๆ โลกแล้วโบกธงเรื่องสิทธิมนุษยชนอยู่ไปมา พลางชี้นิ้วกล่าวหาชาวโลก ซึ่งส่วนมากเป็นประเทศโลกที่ 3 ว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชน จากนั้น ก็หาเหตุในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และแซงซั่นด้วยมาตรการต่างๆ นานาโดยยืมมือสหประชาชาติ หรืออียู จัดการ แต่ลุงแกคงลืมไปแล้วว่า ไอ้คุกนรกที่กวนตานาโม่ที่ไปเช่าที่คิวบาเพื่อทำระยำตำบอนนักโทษสงครามของลุงนั้น เลวทรามต่ำช้ากว่าประเทศที่ลุงไปกล่าวหาเสียอีก เคยเขียนถึงเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นบัดซบในคุกกวนตานาโมไปแล้ว วันนี้ ขอปัดฝุ่นอีกกรณีศึกษาหนึ่งที่แสดงความเน่าเฟะในวาทกรรมหลอกเด็กเรื่องสิทธิเสรีภาพของอังเคิลแซม
หลายคนคงรู้ว่า ซีไอเอ นี่คือหน่วยข่าวกรองกลางและสืบราชการลับของสหรัฐ ซึ่งสอดจมูกไปในบ้านชาวโลกแบบไม่เลือกหน้ามานานแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะแส่แต่เรื่องชาวโลก บ่อยหนก็สาระแนเข้าไปในครัวเรือนของมะริกันชนด้วยเช่นกัน
ลำพังการสอดแนมชาวบ้านก็แย่อยู่แล้ว แต่หน่วยงานอันยิ่งใหญ่ระดับโลกอย่างซีไอเอ ต้องทำในสิ่งใหญ่ๆ มากกว่าการเสือกเรื่องชาวบ้าน เพราะมีโครงการล้านโปรเจ็คที่ปิดลับไม่ให้ใครรู้อีกเพียบ ซึ่งโครงการเหล่านั้น บางโครงการก็น่าสยดสยองและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เช่น โครงการที่เรียกว่า "โครงการเอ็มเคอัลทรา" (Project MKULTRA) ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 -1960
โครงการเอ็มเคอัลทราเป็นการศึกษาและทดลองการใช้สารเคมีและสารชีวภาพ เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ทำอาวุธสงคราม โดยใช้ประชาชนพลเมืองในอังเคิลแซมเองนั่นแหละเป็นหนูทดลอง แม้จะไม่ยินยอมพร้อมใจก็ตามที
การทดลองนี้เกิดขึ้นจากความกลัวว่า ประเทศอื่นที่เป็นศัตรูกับลุงแซม จะใช้อาวุธเคมีและชีวภาพในการทำสงคราม ซีไอเอจึงต้องศึกษาเพื่อหาลู่ทางเตรียมไว้ก่อนเพื่อจะได้ป้องกันและแก้ไขได้ทันท่วงที แต่กลับกลายเป็นว่า โครงการนี้ คือการกระทำทารุณและละเมิดสิทธิของคนอเมริกันเองอย่างสะเทือนขวัญ เพราะพอทดลองไปๆ ก็เกิดไอเดียว่า เอาอาวุธแบบนี้มาใช้เองดีกว่าว่ะ ดังนั้น การทดลองเพื่อป้องกันและแก้ไขจึงกลายเป็นวัตถุประสงค์รองไป ส่วนวัตถุประสงค์หลักกลับกลายมาเป็นเพื่อใช้ในการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์แทน
ในช่วงแรกมีการทดลองกับผุ้ที่สมัครใจเข้ามาเป็นหนูทดลอง แต่ระยะหลังเริ่ม "แอบ" ทดลองกับกลุ่มคนที่ไม่ใช่อาสาสมัคร และไม่รู้ตัวว่า กำลังถูกให้สารเสพติดจนถึงขั้นเสียชีวิต การทดลองนี้เริ่มทดลองเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ.1953
ในช่วงแรก มีการทดลองที่ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติดเล็กซิงตัน ใช้นักโทษเป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยมีการเซ็นชื่อยินยอมให้นำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกาย หนึ่งในสารเสพติดที่ใช้ในการทดลองคือ แอลเอสดี ซึ่งในเวลานั้น สารเสพติดประเภทแอลเอสดี ยังไม่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในหมู่บุปผาชนนัก ต่อมา ได้ถูกนำมาใช้ทดสอบกับบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่อาสาสมัคร และไม่รู้ตัวว่ามีการใช้สารเสพติดกับตน บางหนก็สุ่มตัวอย่างเอาตามบาร์โดยผสมในเครื่องดื่มสำหรับคนทั่วไปที่เข้ามาใช้บริการ
ผลของการทดลองดังกล่าว ทำให้มีคนเสียชีวิตจากการลอบใส่สารแอลเอสดีในเหล้า เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1953 นักวิทยาศาสตร์ 10 คน ร่วมประชุมประจำครึ่งปีที่รัฐแมรี่แลนด์ โดยทั้งหมดมาจากซีไอเอและหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพสหรัฐ แล้วมาดูความอัปลักษณ์ของซีไอเอกันดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น
ดร. โรเบิร์ท แลชบรูก ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของซีไอเอ แอบนำสารแอลเอสดีใส่ลงในขวดเหล้าที่รินแจกหลังมื้อค่ำ โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเอ็มเคอัลทรา ที่จะทำการทดลองกับกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ใช่อาสาสมัครโดยไม่ให้รู้ตัวมาก่อน พวกเดียวกันยังกล้าเอามาเป็นหนูทดลองได้ลงคอ หลังจากนั้นไม่กี่วัน ดร. แฟรงค์ ออลสัน ที่ดื่มเหล้าผสมสารแอลเอสดีโดยไม่รู้ตัวก็กระโดดหน้าต่างฆ่าตัวตายด้วยอาการประสาทหลอน
ไม่เพียงแต่ ดร.แฟรงค์ เท่านั้นที่เสียชีวิต ยังมีเหยื่อจำนวนมากที่ได้รับผลของแอลเอสดีทำลายระบบประสาท แต่ความตายของดร.แฟรงค์ ทำให้ซีไอเอปกปิดข้อมูลอย่างเข้มงวด จนทำลายเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการเอ็มเคอัลทรา เป็นจำนวนมาก แต่มีเอกสารจำนวนหนึงเล็ดรอดออกสู่สาธารณะ จนเกิดการสอบสวนขึ้น จนต้องประกาศล้มเลิกโครงการเอ็มเคอัลทรา ในปี ค.ศ. 1963
แต่อย่าคิดว่า โครงการนี้จะสูญพันธ์ไปง่ายๆ แม้จะมีการเลิกโครงการเอ็มเคอัลทรา แต่กลับมีโครงการแนวโคลนนิ่งโครงการนี้คือโครงการทดสอบปัจจัย อีเอ1729 ซึ่งเป็นการทดลองของกองทัพสหรัฐที่ถอดแบบมาจากโครงการเอ็มเคอัลทรา โดยมีการทดลองนี้ระหว่างปี ค.ศ.1955-1958 เพื่อจะหาความเป็นไปได้ในการนำสารแอลเอสดีมาใช้เป็นอาวุธ โดยทดลองครั้งแรกกับทหารในค่ายทหารแบรกจ์ เมืองเอดจ์วูด รัฐแมรี่แลนด์ หลังทดลองกับอาสาสมัครก็ถูกนำมาทดลองภาคสนาม จนมีการนำแอลเอสดีไปใช้ในการปฏิบัติการในยุโรประหว่างเดือนพฤษภาคม -สิงหาคม ค.ศ.1961 ภายใต้รหัสโครงการทางเลือกที่ 3 ต่อมาหน่วยพิเศษของกองทัพ ก็ใช้สารแอลเอสดีอีกครั้งในการปฏิบัติการแถบตะวันออกไกล ระหว่างเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน ค.ศ.1962 ภายใต้รหัสโครงการหมวกสักหลาด โดยสุ่มเป้าหมายมาทดลอง โดยไม่ต้องถามไถ่แต่อย่างใด เพื่อเปรียบเทียบว่า ชาวเอเชียมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารแอลเอสดีต่างหรือไม่กับชาวยุโรป ปรากฎว่า เหยื่อที่ถูกจับมาอัดแอลเอสดีเข้าไปเพียงแค่ 28 นาที ตกอยู่ในสภาพทุเรศทุรังเกือบหมดสติ เจ็บปวดและร้องครวญครางตลอดเวลา จนต้องยกเลิกการทดลองในเวลาต่อมา
แม้จะมีการปกปิดเอกสารรวมทั้งเผาทำลายกันขนานใหญ่ทั้งทางฝั่งซีไอเอและกองทัพ แต่ปรากฎว่า เอกสารเล็ดรอดออกไปจนกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่สังคมอเมริกันให้ความสนใจในเวลานั้น อย่าว่าแต่ละเมิดสิทธิมนุษยชนเลย การทดลองนี้ ผิดทั้งศีลธรรมและจรรยาบรรณ ไม่แตกต่างไปจากการทดลองของกองทัพญี่ปุ่นและกองทัพเยอรมัน ที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการนำคนมาเป็นหนูทดลองโครงการในสมัยสงคราม
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล และวุฒิสมาชิก พากันปฏิเสธเสียงขรมว่า ไม่มีการทดลองที่ผิดศีลธรรมดังกล่าว เอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทดลองนี้ ได้ถูกทำลายลงในราวต้นปี ค.ศ.1973 การทดลองนี้ ถือเป็นการทดลองลับสุดยอดขนาดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซีไอเอ ยังไม่รู้เลยว่ามีการทดลองนี้ในหน่วยงานตน คนที่รู้มีเพียงหมอกับนักวิทยาศาสตร์ในโครงการเท่านั้น
ไม่ใช่แค่เพียงโครงการนี้เพียงโครงการเดียว แต่ซีไอเอ ยังมีโครงการที่ละเมิดสิทธิ์ของพลเมืองอเมริกันอีกมากมาย ไว้ว่างๆ คงต้องเล่าสู่กันเพลินๆ แต่ที่เล่ามาทั้งหมดนี้คือเวลาเห็นลุงแซมอ้าปากสาธยายเรื่องสิทธิมนุษยชนเพื่อข่มขู่ประเทศอื่นทีไร รู้สึกขำความปากว่าตาขยิบของลุงแซมทุกที..
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี