ที่ผ่านมาบรรดาแกนนำสาวกพรรคเพื่อไทยออกมาเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งทั่วไปโดยเร็วอยู่ตลอดเวลา เพราะรู้ดีว่าการเลือกตั้งอาจเป็นทางรอดเดียวสำหรับระบอบทักษิณที่จะกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศและนำพาชาติบ้านเมืองกลับไปสู่วังวนแห่งวงจรอุบาทว์อันเลวร้ายแบบเดิมๆ
อย่าง นายจาตุรนต์ ฉายแสง หนึ่งในแกนนำพรรคเพื่อไทยพยายามอ้างว่า ความไม่แน่นอนว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่จะทำให้นักลงทุนทั้งหลายไม่กล้าลงทุน อีกทั้งการเลือกตั้งจะนำไปสู่การสร้างความปรองดอง หรือ นายนพดล ปัทมะ ทนายหน้าหอของนายใหญ่ระบอบทักษิณที่อ้างว่า
หากมีการเลือกตั้งจะเป็นการปลดล็อกความแตกแยกในชาติ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงการเลือกตั้งกับการสร้างความปรองดองเป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง เพราะแม้จะมีการเลือกตั้งก็ไม่ได้หมายความว่าความแตกแยกในชาติจะหมดไป ตราบใดที่ต้นตอรากเหง้าของปัญหาความแตกแยกยังดำรงอยู่นั่นคือการคงอยู่ของระบอบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันเลวร้ายที่เป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และ
ผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย(สปท.) แสดงความเป็นห่วงที่มีการนำการเลือกตั้งและการสร้างความปรองดองมาเป็นตัวประกัน โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) อ้างว่าถ้าไม่มีการปรองดองก็อาจไม่มีเลือกตั้ง ขณะที่บางพรรคการเมืองอ้างว่าการเลือกตั้งเท่านั้นที่จะทำให้เกิดการปรองดอง ซี่งตรรกกะทั้งสองแบบกลายเป็นแค่กลเกมการเมืองเท่านั้น เพราะไม่มีใครประกันได้ว่าเลือกตั้งแล้วจะปรองดองได้จริง ซ้ำร้ายกลุ่มนักการเมืองที่มาพูดเรื่องปรองดองพอมีอำนาจก็จะสร้างเงื่อนไขความแตกแยกใหม่ๆเกิดขึ้นหลังชนะเลือกตั้ง ดังนั้นคสช.ควรเร่งเดินหน้าสร้างความปรองดองและการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งให้เห็นเป็นรูปธรรมเพราะถือเป็นพันธกิจที่คสช.สัญญาไว้กับประชาชน
ต้นเหตุของวิกฤติความแตกแยกในชาติลึกซึ้งอย่างไม่เคยมีมาก่อนและเหตุการณ์ความรุนแรงซึ่งสร้างความบอบช้ำให้ชาติบ้านเมืองอย่างหนักตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาล้วนมีสาเหตุมาจากระบอบทักษิณที่ประกอบด้วยแก้ว 3 ประการที่เป็นเครื่องมือยึดครองประเทศอันได้แก่
1.พรรคบริษัทตระกูลชินซึ่งเป็นธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม 2. พลังมวลชนกลุ่มคนเสื้อแดง และ3.กองกำลังใต้ดินติดอาวุธ
พรรคเพื่อไทยถูกตั้งข้อสังเกตุว่ามีสถานะไม่ต่างจากบริษัทการเมืองจำกัดที่อำนาจการตัดสินใจขึ้นอยู่กับเจ้าของเพียงคนเดียวโดยบรรดาส.ส.มีบทบาทเป็นแค่พนักงานบริษัทที่คอยรับคำสั่งจากเจ้าของแทนที่จะทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนของปวงชน และยังส่อเป็นพรรคธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมมาตั้งแต่ต้นโดยใช้ผลประโยชน์ทุกรูปแบบกวาดต้อนซื้อส.ส.กลุ่มต่างๆเข้ารวมเป็นพรรคใหญ่ ขณะเดียวกันก็ซื้อเสียงเพื่อเอาชนะการเลือกตั้งแล้วจัดตั้งรัฐบาลไม่ต่างจากการซื้อประชาธิปไตย ซื้ออำนาจรัฐ ซื้อประเทศ จากนั้นใช้อำนาจเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมทำสั่งชั่วร้ายตามใจชอบ ทั้งทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬารและย่ามใจเพื่อถอนทุนบวกกำไรมหาศาล ขณะเดียวกันก็ใช้อำนาจรัฐฉ้อฉลทุกรูปแบบทั้งทางตรงทางอ้อมหวังผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศในระยะยาว
จากความเลวร้ายของระบอบทักษิณทั้งปวงรวมทั้งพฤติการณ์ส่อไปในทางจาบจ้วงเป็นภัยต่อสถาบันเบื้องสูง เป็นต้นเหตุของความแตกแยกในชาติทำให้มวลมหาประชาชนที่เห็นธาตุแท้สัญญาณอันตรายของระบอบธุรกิจการเมืองในคราบประชาธเปไตยจอมปลอมออกมาแสดงพลังขับไล่โดยฟางเส้นสุดท้ายที่เป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติสาสตร์ก็คือการออกมาขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ภายใต้การชักใยของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ผู้เป็นพี่ชายที่พยายามหักดิบผลักดัน ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่อ้างการสร้างความปรองดองบังหน้าแต่อำพรางเป้าหมายแอบแฝงที่แท้จริงหวังลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้กับ นายทักษิณ เพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆโดยไม่ต้องติดคุกในคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาล
คดีโครงการรับจำนำข้าวภายใต้สโลแกน”ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ”เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างโครงการภายใต้พรรคธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่มีการทุจริตอย่างมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ดังนั้นก่อนที่จะพูดถึงเรื่องการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยควรตอบคำถามสร้างความกระจ่างต่อสังคมให้ได้ก่อนว่า ทำไม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะจำเลยคนสำคัญในคดีโครงการรับจำนำข้าวถึงหลบหนีออกนอกประเทศไม่ไปฟังคำพิพากษาของศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมาและพรรคเพื่อไทยจะแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองอย่างไรเมื่อศาลพิพากษาคดีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีเก๊ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรับจำนำข้าวโดยศาลพิพากษาจำคุก นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นเวลา 42 ปี จำคุก นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ 36 ปี และจำคุกข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์และพ่อค้าอีกกว่า 10 คนซึ่งในจำนวนนี้ที่สำคัญคือ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ “เสี่ยเปี๋ยง” นายทุนคู่ใจของนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทยควรให้ความกระจ่างกับคำกล่าวของ นายบุญทรง ที่กล่าวเป็นนัยกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งถึงเบื้องหลังการโกงชาติปล้นแผ่นดินมูลค่ามหาศาลในคดีโครงการรับจำนำข้าวว่า “กูพูดไม่ได้......ต้องตายไปกับตัวเรา”
เพราะฉะนั้นพรรคเพื่อแม้วซี่งเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติและต้นเหตุของการรัฐประหารถึง 2 ครั้งในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาควรจะปฏิรูปตัวเองให้พ้นจากความเป็นพรรคตระกูลชินและพรรคธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมก่อนที่จะมาพูดถึงเรื่องการเลือกตั้ง และที่สำคัญตัวแปรซึ่งจะกำหนดอนาคตของชาติบ้านเมืองก็คือประชาชนที่จะต้องตื่นรู้เท่าทันเพราะหากยังขืนเลือกพรรคธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าจนได้เสียงมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล นั่นอาจหมายถึงเคราะห์กรรมของประเทศที่กลับไปสู่วังวนของวงจรอุบาทว์อันเลวร้ายที่จะกลับมาเป็นฝันร้ายตามหลอกหลอนก่อวิกฤติให้กับชาติบ้านเมืองอีกครั้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี