ในวันที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางไปปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับการขับเคลื่อนประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน" ให้นิสิตและบุคลากรที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฟัง และเดินทางต่อไปยังอาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยมีผู้บริหารและนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6 มารอต้อนรับนั้น ก่อนกลับ พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า
“ประเทศไทยกำลังมีโอกาส และความท้าทายในการเปลี่ยนผ่าน อย่าให้เปลี่ยนแล้วกลับมาที่เดิม ถอยหลังมาที่เดิม” และว่า “อย่าลืมคนแก่คนนี้ รักคนแก่คนนี้ด้วย เจอที่ไหนทักด้วยนะ”
ลีลาการออดอ้อนของพลเอกประยุทธ์ครั้งนี้ ยิ่งดูก็ยิ่งใกล้นักการเมืองมืออาชีพเข้าไปทุกที
ย้อนหลังไปเมื่อครั้งยึดอำนาจใหม่ๆ ในเดือนพฤษภาคม 2557 ต่อเนื่องมาจนถึงสิ้นปี 2560 พลเอกประยุทธ์ยืนยันมาตลอดว่าตนไม่ใช่นักการเมือง
บีบีซีไทย สำนักข่าวที่ดูจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพลเอกประยุทธ์ ถึงกับลงทุนรวบรวมคำให้สัมภาษณ์ที่ยืนยันเสียงแข็งว่าตนไม่ใช่นักการเมืองของพลเอกประยุทธ์ตลอดช่วงเวลากว่า 3 ปีที่อยู่ในอำนาจ โดยรวบรวมมาได้ถึง 9 ครั้ง
ครั้งแรก วันที่ 3 ธันวาคม 2557 หลังยึดอำนาจได้ 6 เดือน พลเอกประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ผู้บริหารสื่อหนังสือพิมพ์ 16 ฉบับ ที่สโมสรราชพฤกษ์ นอร์ธปาร์ค ถนนวิภาวดีรังสิต
"สื่อมวลชนกับนักการเมืองเป็นศัตรูกัน แต่ผมไม่ใช่นักการเมือง เป็นนักการทหาร ถึงเป็นนายกฯ ก็เข้ามาทำเพื่อคนไทย"
ครั้งที่ 2 วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 แถลงภายหลังการประชุมร่วม ครม.และ คสช.
"ผมไม่ได้มาจากการเมือง ไม่ใช่นักการเมือง ผมมาในช่วงวิกฤติด้วยวิธีพิเศษบวกปกติ ... การเมืองคือการเมือง ผมไม่ใช่นักการเมือง"
ครั้งที่ 3 วันที่ 3 กันยายน 2558 กล่าวระหว่างเป็นประธานการรับฟังการแถลงยุทธศาสตร์ชาติ-ยุทธศาสตร์ทหาร พ.ศ. 2559-2563 ของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 57
"มีคนบอกว่าผมเป็นนักการเมืองแล้ว ยืนยันว่าไม่ใช่ ผมยังเป็นนักการทหาร เพียงแต่เข้ามาทำหน้าที่นักการเมืองบริหารงานของภาครัฐเท่านั้น"
ครั้งที่ 4 วันที่ 8 กันยายน 2558 กล่าวขณะชี้แจงเรื่องที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า มติสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่ "คว่ำ" ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ กลางสภาเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2558 เพราะ "มีใบสั่ง คสช." "หวังยืดโรดแมป" "อยากสืบทอดอำนาจ"
"ผมไม่ใช่นักการเมืองที่ต้องอยู่ให้นานเพื่ออำนาจ ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วเรื่องนี้ ผมชินกับการใช้อำนาจมาเยอะแล้ว เป็นผู้บังคับบัญชาทหาร..."
ครั้งที่ 5 วันที่ 18 มกราคม 2559 ย้อนสื่อมวลชนที่ถามว่าจะเปิดบ้านให้อวยพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่บ้างหรือไม่ ก่อนจะยุติการให้สัมภาษณ์ เดินออกจากโพเดียมทันที
"บ้านใครนะ ผมไม่ใช่นักการเมือง"
ครั้งที่ 6 วันที่ 22 สิงหาคม 2559 ตัดพ้อสื่อมวลชนระหว่างทำหน้าที่ประธานในพิธีเปิดทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอก
"ผมเป็นผู้ใหญ่และเป็นทหาร เลยขี้โมโหไปหน่อย ผมไม่ใช่นักการเมือง อย่าหวังว่าผมจะพูดเพราะ พูดเพราะแล้วโกหก ผมไม่ทำ"
ครั้งที่ 7 วันที่ 15 พฤศจิกายน 2559 ชี้แจงเมื่อมีคนเปรียบเทียบตนว่ามีพฤติกรรมคล้ายคลึงกับ ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์
"ผมไม่ใช่นักการเมือง เวลาพูดอะไรก็จะพูดไปตามความเชื่อในหลักการและข้อเท็จจริงตามกฎหมาย"
ครั้งที่ 8 วันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 ขณะปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่ามี "ดีลพิเศษ" กับพรรคขนาดกลาง เมื่อโฉมหน้า ครม. "ประยุทธ์ 5" ปรากฏชื่อนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ นักการเมืองคนสำคัญจากอดีตพรรคชาติไทย เข้ามาร่วมรัฐบาล
"ผมไม่ได้มองหรือดีลการเมืองกับใคร เพราะผมไม่ใช่นักการเมือง ผมไม่ดีลกับใครทั้งสิ้น"
ครั้งที่ 9 วันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 กล่าวระหว่างพบปะประชาชน 500 คน ที่หอประชุมเอนกประสงค์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย จังหวัดสงขลา หลังเสร็จสิ้นภารกิจประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดสงขลา
"ผมเป็นนายกฯ ที่ไม่เอาใจคน ผมไม่ใช่นักการเมือง ผมบริหารงานในแบบของผม ดูแลประชาชนโดยไม่เลือกว่าใครสนับสนุนผม"
แต่ครั้นต้นปี 2561 ที่ยืนยันเสียงแข็งมาตลอดเวลากว่า 3 ปี ว่าไม่ใช่นักการเมือง ก็เปลี่ยนแปลงไป
หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกของปีเมื่อวันที่ 3 มกราคม พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า วันนี้เป็นวันแห่งความสุข และเป็นวันแห่งรอยยิ้ม ก็ยิ้มเยอะๆ แต่ก่อนยิ้มแล้วหุบเร็ว เพราะเป็นคนไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่ หน้าเป็นอย่างนี้
"วันนี้ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะผมไม่ใช่ทหาร เข้าใจไหม เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร” !!!
บรรดานักการเมืองอาชีพที่สงสัยและหวาดระแวงมานาน ไม่ว่าจะเป็นจากซีกพรรคเพื่อไทยหรือซีกพรรคประชาธิปัตย์จึงต่างกระโจนเข้ารุมกินโต๊ะพลเอกประยุทธ์และ คสช. ไม่ยั้ง พร้อมทั้งโจมตีเรื่องการออกพบปะประชาชน
การย้ายข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งล้วนเป็นพฤติกรรมที่ตนเองก็เคยทำมาแล้วทั้งนั้นตอนเป็นรัฐบาล ที่ทำทีอ้อยอิ่ง และที่ประกาศสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เห็นจะมีแต่พรรคขาประจำ 3-4 พรรคที่เป็นฝ่ายค้านไม่เป็น และพรรคเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อหนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่กระนั้น ด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและวิธีการเลือกตั้งแบบใหม่ ก็เพียงพอที่จะผลักดันให้พลเอกประยุทธ์กลับมานั่งเก้าอี้นายรัฐมนตรีได้ไม่ยาก
ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงท่าทีที่ไม่มีอะไรปิดบังกันอีกแล้วในวันนี้ของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่แสดงจุดยืนชัดเจนหนุนพลเอกประยุทธ์นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกรอบ เพื่อสานต่องานด้านความมั่นคงและปฏิรูปประเทศ ขณะที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ยกสารพัดโพลล์มาเชียร์ว่าเหมาะสม นาทีนี้ ถ้าพลเอกประยุทธ์ไม่เล่นการเมือง ไม่กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ล็อคพนันคงถล่มทลาย
ถ้าเราไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่นักเลือกตั้ง ก็อย่าไปซีเรียสอะไรเลยครับ
อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด
ท่ามกลางการเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ประชาชนจะเติบใหญ่ ประเทศไทยต้องไปต่อ
และพลเอกประยุทธ์ก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะลืม เพราะพลเอกประยุทธ์ เป็นคนในประวัติศาสตร์คนหนึ่งนานแล้ว และคนในประวัติศาสตร์นั้น ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ไม่ว่าผู้ใดกลุ่มใดจะพยายามปกปิด บิดเบือน ปิดบัง ซ่อนเร้น คนในประวัติศาสตร์ก็จะยังมีตัวตนของตนอยู่ในประวัติศาสตร์ ผู้คนก็จะยังจดจำ และไม่มีวันลืม เพียงแต่คนในประวัติศาสตร์คนนั้นจะทำให้ผู้คนจดจำเขาในแง่ไหน มุมไหน เท่านั้น
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษาร้อยชักสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี