การประหารชีวิตนักโทษชายไทยเมื่อเร็วๆ นี้ และการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการประหารชีวิตของกลุ่มนักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะขององค์การนิรโทษกรรมสากลประเทศไทย ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมายเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของโทษประหารชีวิตกับการลดหรือเพิ่มของคดีอาชญากรรม
นางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ไม่เห็นด้วยกับการประหารชีวิต เพราะเชื่อว่าการประหารชีวิตไม่ได้ทำให้อาชญากรรมลดลง
นักสิทธิมนุษยชนอีกหลายคนก็ออกมาประณามการลงโทษประหารชีวิต อ้างว่าไม่มีมนุษย์หรือคนกลุ่มใดสามารถอ้างสิทธิทำร้ายผู้อื่นหรือคร่าชีวิตผู้อื่นถึงตาย ไม่ว่าด้วยเหตุใด เพราะชีวิตเป็นสิทธิพื้นฐานของทุกคน และเป็นสิทธิที่ไม่อาจปฏิเสธได้
บ้างพูดกระทั่งว่า การลงโทษประหารเป็นการลดคุณค่าศักดิ์ศรีและหลักธรรมแห่งมนุษย์
บ้างนำสถิติข้อมูลมากมายมายืนยันว่า ในประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิต อัตราการฆาตกรรมต่อประชากรลดลง ในขณะที่ในประเทศที่ยังใช้โทษประหารชีวิต สถิติอาชญากรรมกลับมิได้ลดลงแต่ประการใด ดังนั้นโทษประหารชีวิต จึงเป็นการลงโทษที่รุนแรงต่อชีวิต แต่ไม่มีผลรุนแรงต่อการลดจำนวนอาชญากรรมแต่อย่างใด
เราไม่แปลกใจว่าทำไมองค์การนิรโทษกรรมสากลและนักสิทธิมนุษยชนทั้งหลายทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จึงต่างออกมาประณามการลงโทษประหารชีวิตอาชญากร เพราะนั่นเป็นการท้าทายชุดความคิดของพวกเขาที่เห็นว่าคนร้ายควรมีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าการมีชีวิตอยู่ที่อ้างว่าเป็นสิทธิพื้นฐานนั้น จะเข่นฆ่าทำร้ายชีวิตผู้อื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาแล้วกี่ครั้งกี่หนก็ตาม
และด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่แปลกใจอีกเช่นกันว่า ทำไมองค์การพิทักษ์สิทธิมนุษยชนทั้งหลาย จึงถูกสังคมประณามหยามหยันว่า เป็นองค์การพิทักษ์สิทธิมนุษยโจร มากกว่าพิทักษ์สิทธิมนุษยชน
พฤติกรรมและกิจกรรมที่แสดงออกแต่ละครั้ง ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นอย่างที่คนส่วนใหญู่ในสังคมเขาว่าไว้จริง
แม้ว่าองค์การและนักพิทักษ์สิทธิมนุษยชนทั้งหลายจะออกมาอธิบายว่า พวกเขาก็ชิงชังรังเกียจพฤติกรรมของคนร้ายที่เข่นฆ่าชีวิตคนดีๆ ทั่วไปเช่นกัน แต่ทว่า...
เคยมีสักกี่ครั้ง ที่องค์การและนักพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ออกมาปกป้องสิทธิการมีชีวิตอยู่ของครูภาคใต้ที่ถูกฆ่า ?
เคยมีสักกี่ครั้ง ที่องค์การและนักพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ออกมาปกป้องสิทธิการมีชีวิตอยู่ของประชาชนคนดีที่ถูกข่มขืน ถูกปล้นชิง และถูกปล้นฆ่า ?
เคยมีสักกี่ครั้ง ที่องค์การและนักพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ออกมาปกป้องสิทธิการมีชีวิตอยู่ของพลเมืองดีที่เข้าไปปกป้องชีวิตของผู้อื่นแล้วถูกคนร้ายฆ่า ?
เคยมีสักกี่ครั้ง ที่องค์การและนักพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ออกมาปกป้องสิทธิการมีชีวิตอยู่ของทหารตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียสละ ตรงไปตรงมา แล้วถูกคนร้ายฆ่า ?
พวกเขาเหล่านี้ ไม่ได้มีสิทธิพื้นฐานในการมีชีวิตอยู่ ไม่ได้มีสิทธิพื้นฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และไม่อาจพรากคร่าได้เหมือนชีวิตของคนร้ายทั้งหลายหรือ ?
การที่ชีวิตของคนดีๆ ถูกเข่นฆ่าจากน้ำมือคนร้าย ไม่เป็นการลดคุณค่าแห่งศักดิ์ศรีและหลักธรรมแห่งมนุษย์ เหมือนการที่คนร้ายถูกจับประหารชีวิตหรอกหรือ ?
การลงโทษประหารชีวิต คือการชดใช้กรรมที่คนร้ายก่อตามสภาพความหนักเบาแห่งกรรมที่ก่อ มิใช่ว่าผู้ร้ายฆ่าคนตายทุกคนจะต้องโทษประหารชีวิต ทั้งการประหารชีวิตก็มิได้ทำอย่างทารุณโหดร้ายอย่างที่นักโทษประหารจำนวนหนึ่งกระทำต่อผู้เสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ โทษประหารชีวิตจึงมิใช่การลงโทษแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน อย่างที่นักสิทธิมนุษยชนหลายคนพยายามบิดเบือน
การลงโทษประหารชีวิต นอกจากเป็นการชดใช้กรรมที่คนร้ายก่อตามสภาพความหนักเบาแห่งกรรมที่ก่อแล้ว ยังเป็นการชดใช้ ให้ความเป็นธรรม และเยียวยาอารมณ์ความรู้สึกของผู้สูญเสียและญาติพี่น้อง ซึ่งแม้ว่าจะชดใช้ได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม
การลงโทษประหารชืวิต ไม่ได้มีไว้เพื่อหวังให้คดีอาชญากรรมร้ายแรงลดลง เพราะการลดหรือเพิ่มของคดีอาชญากรรม มีปัจจัยทางสังคมจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจ ปัจจัยทางอุดมการณ์ทางการเมือง ปัจจัยทางค่านิยมสังคม รวมทั้งปัจจัยแห่งการบังคับใช้กฎหมาย
การอ้างว่า โทษประหารชีวิตไม่ได้ทำให้คดีอาชญากรรมลดลง จึงเป็นการจับคู่ความสัมพันธ์ที่สับสน เพราะสองสิ่งนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรงต่อกัน หากจะมีก็เป็นเพียงผลกระทบทางอ้อมเท่านั้น เช่น อาจทำให้คนครุ่นคิดหรือชั่งใจบ้างก่อนลงมือกระทำความผิด
นอกจากนี้ การที่คดีอาชญากรรมในบางประเทศลดลง ภายหลังมีการยกเลิกโทษประหารชีวิต ก็มิได้หมายความว่าการยกเลิกโทษประหารชีวิต เป็นเหตุให้คดีอาชญากรรมลดลง ตรงกันข้าม เพราะแนวโน้มคดีอาชญากรรมที่ลดลง เนื่องจากสังคมพัฒนาไปในทางที่ดีในหลายๆ ด้าน สังคมไม่มีสภาพแวดล้อมที่เป็นมูลเหตุชักจูงใจให้คนกระทำความผิดร้ายแรงต่างหาก ที่เป็นเหตุให้ทางการประเทศนั้นๆ ตัดสินใจดำเนินนโยบายยกเลิกโทษประหารชีวิต
การมีหรือไม่มีโทษประหารชีวิต จึงควรพิจารณาจากความเป็นจริงและบริบทเฉพาะของแต่ละสังคม การแก้ไขปัญหาในโลกนี้ไม่ควรมี One size fits All ทั้งไม่ควรหยิบเรื่องโน้นมาอธิบายเรื่องนี้ ทั้งที่มันไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงต่อกันเลย
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษาร้อยชักสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี