1) ก่อนหน้านี้ คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 28/2559 ให้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
เป็นการมุ่งดูแลการศึกษาระดับพื้นฐานของคนไทยถ้วนหน้า
ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก
เป็นการสร้างหลักประกันแก่เด็กตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับมัธยมปลาย หรือ ปวช. กว่า 12 ล้านคน
ก่อนหน้านี้ การศึกษา 15 ปี เป็นนโยบายของรัฐบาลบางสมัย คือ ยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่มุ่งเน้น 15 ปีเรียนฟรีอย่างมีคุณภาพ แต่การออกคำสั่งหัวหน้า คสช. เป็นการวางหลักประกันยิ่งกว่านั้น เพราะมีสถานะเป็นกฎหมาย
2) เมื่อเร็วๆ นี้ ก็ถึงคราวสถาบันอุดมศึกษา การศึกษาบั้นปลาย
ปัจจุบัน มีสถาบันอุดมศึกษาที่เปิดสอนระดับปริญญา จำนวนหลายร้อยแห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ และเอกชน
แต่ละแห่ง มีการบริหารจัดการภายในของตนเอง ดูแลจัดการทั้งการศึกษาและผลประโยชน์
ทุกแห่งจะมีสภา มีฝ่ายบริหาร
หลายแห่ง เกิดปัญหาในการบริหารจัดการภายในเรื้อรัง เป็นเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ เงินๆ ทองๆ
โดยมิใช่เรื่องทางวิชาการอะไรเลย
ในอาณาจักรผลประโยชน์อุดมศึกษานั้น นอกจากงบประมาณแผ่นดินแล้ว ที่มากกว่า คือ การจัดการทรัพย์สินของแต่ละสถาบันอุดมศึกษา ไม่ว่าจะเป็น สถานะของความเป็นสถาบันอุดมศึกษา ที่ดิน พื้นที่เชิงพาณิชย์ มีการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว มีการเปิดหลักสูตรพิเศษเรี่ยราดไปหมด
หลายแห่ง เกิดข้อขัดแย้งในทางอำนาจบริหารภายในสถาบัน
สภามหาวิทยาลัย นายกสภา กรรมการสภา และอธิการบดี ขัดแย้งกัน ยื้อยุดกันบ้าง
หรือบางแห่งก็เล่นบทบาทผลัดกันเกาหลัง ฮั้วกัน แสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน
ปัญหายืดเยื้อ เรื้อรัง คนซวยคือนักศึกษา
3) ล่าสุด คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 39/2559 เรื่องการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา เปิดทางให้รัฐบาลเข้าไปสะสางปัญหาโดยเร็ว
กรณีการดําเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้บริหารของสถาบันใดในขณะนี้ หากเกิดความขัดแย้ง ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีอํานาจยับยั้งการแต่งตั้ง หรือหาคนมาดำรงตำแหน่งดังกล่าวเลยก็ได้
คำสั่งนี้ ยังให้คณะกรรมการการอุดมศึกษา หรือ กกอ. สามารถเข้าไปตรวจสอบสถาบันอุดมศึกษา แล้วรายงานต่อรัฐมนตรี เพื่อให้ใช้อำนาจเข้าไปจัดการสะสางโดยเร็ว ในกรณีที่ใดมีปัญหาว่า
(1) จัดการศึกษาไม่เป็นไปตามมาตรฐานการอุดมศึกษาหรือมาตรฐานหลักสูตรจนอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นิสิตนักศึกษา ระบบการศึกษา สังคม หรือประเทศชาติ
(2) จงใจ หลีกเลี่ยง หรือประวิงการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับของสถาบันอุดมศึกษา หรือคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่สั่งการตามคำสั่งนี้หรือตามกฎหมาย
(3) นายกสภาสถาบันอุดมศึกษา กรรมการสภาสถาบันอุดมศึกษา หรือผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษามีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริต
(4) ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งภายในสถาบันอุดมศึกษาจนสภาสถาบันอุดมศึกษาหรือสถาบันอุดมศึกษาไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
โดยให้รัฐมนตรี มีอํานาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในการสั่งผู้ดำรงตำแหน่งในสถาบันอุดมศึกษาให้หยุด หรือพ้นจากตำแหน่ง หรือแต่งตั้งมอบหมายให้ใครเข้ามาทำหน้าที่แทน เพื่อจัดการปัญหา
คำสั่งนี้ “ให้ดําเนินการตามคําสั่งนี้แก่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิโดยทันที... ส่วนสถาบันอุดมศึกษาอื่นๆ หากมีปัญหา จำเป็นต้องใช้อำนาจพิเศษเข้าไปควบคุมจัดการตามคำสั่งนี้ คสช.จะต้องออกประกาศกำหนดต่อไป
กรณีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ มีปัญหายืดเยื้อเรื้อรังมาเกือบ 10 ปี โดยเฉพาะการแต่งตั้งอธิการบดี ผู้ได้รับเลือกถูก สตง.ชี้ว่าปฏิบัติราชการมิชอบ ถูกแจ้งความดำเนินคดี ถูกสอบวินัยร้ายแรง แล้วก็มีการฟ้องกลับกันอุตลุด พัลวัน นักศึกษาถือป้ายประท้วง ไม่ยอมรับผู้ได้รับเลือกเป็นอธิการบดี
ส่วนมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ก็มีปัญหาภายในเรื้อรัง ผู้บริหารถูกร้องเรียน บุคลากรถูกเลิกจ้าง สัดส่วนอาจารย์ต่อนักศึกษาไม่เป็นไปตามมาตรฐาน เป็นต้น
กลไกปกติพยายามเข้าไปแก้ ปัญหาก็ไม่คลี่คลาย มีแต่จะลุกลามกระทบนักศึกษาและการศึกษา
4) รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ในฐานะเลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ หรือ Coordinating Center for the Public Higher Education Staff (CHES) แสดงความเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ดังกล่าว
ระบุว่า แนวทางนี้ “น่าจะได้รับเสียงตอบรับทางบวกจากชาวมหาวิทยาลัย เพราะช่วยให้ฟ้าเปิด หลังจากที่เมฆมืดสลัวปกคลุมมหาวิทยาลัยมานาน ถือเป็นครั้งแรกที่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรม และทำให้ดินแดนสนธยา ในมหาวิทยาลัยทั้งหลายเข้าสู่ยุคที่โปร่งใส ตรวจสอบและจับต้องได้”
ดร.วีรชัย ยังบอกว่า ขอแสดงความยินดีกับประชาคมมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์และมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ที่ได้ใช้ ม. 44 ทันที ส่วนมหาวิทยาลัยอื่นๆ น่าจะได้ใช้ตามมา เมื่อผลการสืบสวนสอบสวนของคณะทำงานของ คสช.ออกมาชัดเจน เพราะคำสั่งนี้ได้เปิดช่องให้ประชาคมอุดมศึกษาส่งข้อมูลรายงานต่อ รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งเชื่อว่ามีมากกว่า 2 มหาวิทยาลัยนี้แน่นอน ดังนั้น ประชาคมที่มีข้อมูลพยานหลักฐานชัดเจนที่ตรวจสอบได้ ให้ส่งข้อมูลไปยังกระทรวงผ่านทาง สกอ. และ กกอ.
ว่ากันว่า สถาบันอุดมศึกษาที่มีปัญหาภายในยืดเยื้อ ลุกลาม หากยังแก้ปัญหาไม่ตก ก็อาจจะถูกเข้าไปควบคุมตามคำสั่งมาตรา 44 เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เป็นต้น
5) น่าสนใจว่า ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เคยได้รับเรื่องร้องเรียนมากมายเกี่ยวกับคุณภาพมาตรฐานของหลักสูตรของสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง เช่น ม.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ม.ราชธานี ม.นอร์ท-เชียงใหม่ ม.ปทุมธานี ม.ฟาร์อีสเทอร์น ม.เนชั่น ม.ธนบุรี ม.ฟาฏอนี ม.กรุงเทพธนบุรี ม.นานาชาติเอเชีย-แปซิฟิก ม.การจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น สถาบัน
รัชต์ภาคย์ ม.นอร์ทกรุงเทพ ม.ตาปี ม.เฉลิมกาญจนา ฯลฯ
พบว่า หลักสูตรของหลายแห่งไม่ได้มาตรฐานกว่า 11 หลักสูตร เช่น หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต, การจัดการมหาบัณฑิต, บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาการสร้างตัวแบบและการพัฒนาธุรกิจ, หลักสูตรศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต ฯลฯ
ปัจจุบัน ประชาคมมหาวิทยาลัยทราบดีว่า มีหลักสูตรประเภทจ่ายครบจบแน่
ทำเสมือนโรงงานปั๊มใบปริญญาแบบเร่งด่วน มีอยู่มากแค่ไหน
แต่ถ้าไปดูในคำสั่ง 39/2559 ระบุชัดเจนว่า สถาบันอุดมศึกษาบางแห่ง เปิดการสอนและจัดการศึกษาทั้งในและนอกสถานที่ โดยใช้หลักสูตรที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ผลิตบัณฑิตที่มีปัญหาด้านคุณภาพ และไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ เพราะฉะนั้น น่าจะใช้โอกาสนี้ จัดการโดยเร็วที่สุด
คัดเลือกคนเข้าไปปรับทิศทางการบริหาร ยกระดับคุณภาพการศึกษา เพื่อให้เกิดการจัดการศึกษาอุดมศึกษาที่ตอบโจทย์การศึกษาแท้จริง มิใช่ตอบโจทย์ยอดรายได้เงินเข้ากระเป๋าผู้บริหารสถานศึกษา
มิฉะนั้น ปัญหาจำพวกปริญญาไร้คุณภาพเกลื่อนเมือง หรือการซื้อใบปริญญา
เปิดสอนสาขาที่ไม่สนใจตลาดแรงงาน แต่มุ่งเอาเงินคนมาเรียนลูกเดียว
คนเรียนจบ ตกงาน ในขณะที่สาขาที่มีความต้องการในระบบเศรษฐกิจสูง กลับไม่มีการส่งเสริมสนับสนุนให้เปิดสอนอย่างเพียงพอ
ทรัพยากรต่างๆ ในสถาบันอุดมศึกษา ควรนำมาใช้เพื่อส่งเสริมพัฒนาการศึกษา เพิ่มโอกาสของคนยากจน จูงใจการเรียนบางสาขาที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติ มิใช่เพื่อแสวงหาผลกำไรต่อยอดไปเรื่อยๆ เพิ่มความมั่งคั่งแก่ผู้บริหารและพวกพ้อง
ปัญหาเหล่านี้ จะยังคงอยู่ ถ้าไม่แก้ไขอย่างสะเด็ดน้ำกันเสียคราวนี้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี