บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป ต้องนำรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ส่งมอบให้ ขสมก. ตามสัญญามูลค่า 3,389 ล้านบาท
กำหนดส่งมอบรถเมล์ลอตแรก 29 ธันวาคมที่ผ่านมา
ล่วงเลยกำหนดแล้ว ยังไม่มีการส่งมอบ-รับมอบรถเมล์เอ็นจีวีเลยสักคัน
1. ก่อนหน้านี้ เอกชนยื่นใบขนสินค้า มีการนำใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ระบุว่า รถเมล์เอ็นจีวีลอตแรก 100 คัน มีแหล่งกำเนิดในมาเลเซีย ขอใช้สิทธิยกเว้นภาษีนำเข้า 40%
แต่กรมศุลกากรตรวจสอบ สรุปว่า เป็นเท็จ
ระบุว่า รถเมล์เอ็นจีวีลอตนี้ ผลิตในประเทศจีน ส่งออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้ พักอยู่มาเลเซีย สองสัปดาห์ ก่อนส่งต่อมาที่ท่าเรือแหลมฉบัง เจ้าหน้าที่ศุลกากรอายัดรถเมล์ไว้ พร้อมแจ้งว่าผู้นำเข้าสำแดงแหล่งกำเนิดสินค้าเป็นเท็จ ต้องจ่ายภาษี ค่าปรับ รวม 370 ล้านบาท
ถ้ารวม 489 คัน คาดว่าจะต้องเสียค่าภาษีและค่าปรับ รวมทั้งหมดเบ็ดเสร็จ เกือบพันล้านบาท
2. วันนี้ รถเมล์เอ็นจีวีจอดอยู่ท่าเรือแหลมฉบังแล้วรวม 391 คัน
โดยอีก 291 คัน ก็นำเข้ามาแล้ว สองเที่ยวเรือ
เพียงแต่ลอตนี้ ยังไม่ได้ยื่นใบขนสินค้า
ส่วนที่เหลืออีก 98 คัน ยังมาไม่ถึงแหลมฉบัง
3. ขั้นตอนต่อไป เอกชนจะต้องไปจัดการเรื่องภาษีนำเข้า ค่าปรับ เพื่อนำรถออกมาดำเนินการไปจดทะเบียนกรมการขนส่งทางบก ติดตั้งระบบอุปกรณ์ให้ครบถ้วนตามสัญญา ก่อนนำไปส่งมอบให้ ขสมก.
ทั้งหมด เป็นภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของฝ่ายเอกชนคู่สัญญา
4. น่าคิดว่า ในสัญญาที่ ขสมก.ลงนามไว้กับฝ่ายเอกชน
ข้อ 2.1 ระบุว่า “องค์การตกลงซื้อ และผู้รับสัญญาตกลงขาย รถยนต์โดยสารปรับอากาศชั้นเดียว ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) ขนาด 12 (สิบสอง) เมตร ยี่ห้อ SUNLONG รุ่น SLK6129 CNG ผลิตที่ประเทศจีน ประกอบ ณ โรงงาน R&A COMMERCIAL VEHICLES SDN BHD ประเทศมาเลเซีย”
น่าคิดว่า รถเมล์เอ็นจีวีทั้งหมดนั้น มีคุณลักษณะถูกต้องครอบถ้วนตามสัญญา หรือไม่?
ผลิตที่ประเทศจีน และประกอบ ณ โรงงานในประเทศมาเลเซีย ตามสัญญาหรือไม่?
ก็ในเมื่อกรมศุลกากรยืนยันชัดเจนว่า รถเมล์ผลิตสำเร็จมาจากประเทศจีนแล้ว ส่งออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้
ถ้าไม่ถูกต้อง ขสมก.ก็ไม่อาจรับมอบรถเมล์ได้
5. นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ความเห็นว่า ประเด็นนี้ ถือเป็นสาระสำคัญ กรณีรถเมล์เอ็นจีวี กรมศุลกากรตรวจพบเป็นสินค้าที่ผลิตจากจีน ไม่ได้ประกอบที่มาเลเซีย อาจจะไม่ตรงตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ตามหลักการแล้ว ขสมก. ตรวจรับไม่ได้
“ผมคิดว่าไหนๆ ก็นำเข้ามาแล้ว ผู้ประมูลงานก็อาจจะยกรถเมล์ลอตนี้ให้กับ ขสมก. โดยไม่เรียกเก็บเงิน ถ้าเป็นกรณีนี้อาจไปปรับลดจำนวนรถที่ต้องส่งมอบให้ ขสมก. ตามสัญญาได้ ถือว่าทางราชการได้ประโยชน์ แต่ถ้าเรียกเก็บเงินกับ ขสมก. กระบวนการในการตรวจรับรถก็ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา” นายพิศิษฐ์กล่าว
6. น่าคิดว่า ในระหว่างนี้ เมื่อเอกชนไม่สามารถส่งมอบรถเมล์ได้ตามกำหนดเวลาในสัญญา ก็จะถูกคิดค่าปรับและค่าเสียโอกาสจากความล่าช้าเป็นรายวัน
คันละ 17,000 บาทต่อวัน
ตกประมาณ 8.3 ล้านบาทต่อวัน
แถมต้องจ่ายค่าจอดรถที่แหลมฉบัง ราว 1.4 ล้านบาทต่อวัน
และหากไม่สามารถส่งมอบภายในวันที่ 12 ก.พ. ก็เข้าข่ายอาจถูกบอกเลิกสัญญา
พร้อมยึดเงินประกัน 330 ล้านบาท
7. สภาพการณ์ตอนนี้ ขสมก.ถือไพ่เหนือกว่าเอกชนทุกทาง
เอกชนแต้มบอด ขสมก.ถือไพ่เด็ด
จะบีบก็ตาย แต่ถ้ายอมคลาย ยอมผิดสัญญา ทำรัฐเสียประโยชน์ ผู้บริหาร ขสมก.อาจจะตายเอง
เอกชนจะยอมเสีย 330 ล้านบาท กรณีถูกบอกเลิกสัญญา แล้วมีภาระต้องจัดการกับรถเมล์ที่ยกพลขึ้นบก มารอที่แหลมฉบังแล้ว 391 คัน อย่างไร
หรือเอกชนจะยอมยกรถเมล์ให้รัฐ แลกกับการปรับแก้เงื่อนไขสัญญา ซึ่งอาจจะยังได้บริหารงานซ่อมบำรุงรถเมล์เหล่านี้ต่อไป ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท
อย่าลืมว่า กรณีเอกชนทำตัวเองทั้งนั้น
สัญญาก็ตกลงไว้เอง
เอกชนไปดำเนินการผลิตประกอบและนำเข้า ล้วนตัดสินใจจัดการเอง โดยมุ่งหวังผลประโยชน์สูงสุดของตนเอง แต่ผิดแผน เพราะกรมศุลกากรจับได้ไล่ทันว่ารถเมล์ทั้งหมดผลิตจากจีน
คาดว่า คงจะมีความชัดเจนว่า “จบเกม” อย่างไร ภายในเดือนมกราคมนี้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี