นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงเลือก “สมเด็จพระมหามุนีวงศ์” (อัมพร อฺมพโร) เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม “พระสุปฏิปันโน” ผู้อร่ามในธรรมและศีลาจารวัตร เป็น “สมเด็จพระสังฆราช” องค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระสุปฏิปันโนรูปนี้ ครองตนด้วยความสำรวม สมถะ และเคร่งครัดในวัตรปฏิบัติชนิดที่ “ชาวพุทธทั้งแผ่นดิน” กราบไหว้ได้ด้วยความสบายใจ ไร้มลทิน ข้อครหาทั้งหลาย
ผมเองได้เคยไปกราบท่านหลายครั้ง ทั้งปกติที่ไปทำบุญวัดนี้และระดมปัจจัยจากผู้มีจิตศรัทธา จัดพิมพ์และซื้อหนังสือดีไปถวายยังวัดต่างๆ วัดที่ขาดมิได้เลยคือวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามนี้ ด้วยศรัทธาในท่านเจ้าอาวาส “ผู้รู้ค่า” แห่ง “หนังสือ” ว่าเป็นสื่อในการปลูกสร้างปัญญา และนำส่งไปยัง “ที่ที่ควรไป-คนที่ควรรับ” ได้ด้วยดีเสมอมา นับเป็นพระคุณอันซาบซึ้งใจมิรู้ลืม
ท่านมีความเป็น “ครู” อยู่ในตน ในยามไปกราบท่านท่านสอนบางคนให้ “กราบให้ถูก” และ “กราบให้งาม” สมเป็นชาวพุทธด้วย ทั้งยังสนทนาวิสาสะในสิ่งอันประเทืองปัญญา หามีวี่แววของการ“หาความนิยมชมชอบ” หรือ “โน้มทรัพย์” ไม่
เงินทำบุญที่ถวายท่าน มิเคยเข้าพกเข้าห่อ หากแต่นำเข้าบัญชีของ “มูลนิธิ” ที่ทางวัดตั้งขึ้นไว้หลายมูลนิธิ และจัดสรรไปสร้างประโยชน์ในการบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามหลวงอันสง่างามแห่งนี้ พร้อมไปกับการจัดสรรเป็น ทุนการศึกษา” แก่นักเรียนที่เรียนดีและยากจนเสมอมาด้วย
ท่านไม่มีผ้ายันต์เลื่องชื่อ ไม่ปลุกเสกพระเครื่องหรือวัตถุบูชาใดๆ ให้คนหลงไปออกนอกเส้นทางแห่ง “การปฏิบัติ”
ธรรม ย่อมสำเร็จได้ด้วยการรู้แจ้ง การรู้แจ้งจะมิเกิดได้เลยหากปราศจากการ “ปฏิบัติ”
ท่านจึงไม่มี “วัตถุมงคล” ใด เป็นอาชีพ เป็นรายได้ให้ผิดไปจากทางที่พระพุทธองค์ทรงสอนและสรรเสริญ
มีไหม วัตถุมงคลของวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม มีครับ แต่มีในคราวอันควร เช่น จัดสร้างเพื่อเป็นที่ระลึกในการสำคัญ เพื่อให้คน “มีพระอยู่กับตัว มีธรรมอยู่กับใจ” หรือเพื่อหารายได้มาประกอบกิจอันเป็นประโยชน์สาธารณะ ซึ่งก็มิได้ทำบ่อยเสียจนเสียสมณสารูป
ท่านและวัดมิเคยเลี่ยงบาลี ทำธงทำยันต์ เป็นล่ำเป็นสัน ครั้นคนตั้งคำถามก็ทำทีเป็นตอบไปว่า คนมาหาก็สอนธรรมด้วย แต่คนไปติดยึดที่ธงที่ยันต์กันเอง ไม่มีความกะล่อนเช่นนั้นในสถานที่นี้
ท่านมิเคยมีรถหรูอยู่ในความครอบครอง แม้มีลูกศิษย์ลูกหาพร้อมที่จะถวายอยู่เสมอมา
ไปไหนมาไหนด้วยรถแท็กซี่ หรือให้เจ้าภาพจัดรถรับส่งมาตามควร แม้งานของสำนักพระราชวัง หากเดินทางไปเองได้ ท่านก็ไปของท่านเอง เนื่องจากวัดอยู่ใกล้วัง มิสร้างภาระ มิยึดติดกับวัตถุแสดงเครื่องยศหรือฐานะ
ครั้งหนึ่ง ท่านไปงานฌาปนกิจพระเถระผู้ใหญ่ที่วัดอโศกรามสมุทรปราการ ท่านเดินทางด้วยรถแท็กซี่ เจ้าหน้าที่มิยอมให้รถเข้าข้างในบริเวณพิธี ให้จอดข้างนอก เพื่อให้เดินเท้าเข้าไปทั้งยังขอตรวจใบสุทธิ เมื่อท่านแสดงด้วยดี ไม่มีทีท่าว่าไม่พอใจใดๆ เจ้าหน้าที่ถึงกับตกใจว่านี่คือ “สมเด็จพระมหามุนีวงศ์”
จึงเป็นมงคลแก่แผ่นดินยิ่งนัก ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงเลือกพระผู้อร่ามในธรรมและศีลาจารวัตรรูปนี้ เป็นสมเด็จพระสังฆราช
ก็เหลือแต่เพียงเราชาวพุทธทั้งหลาย ที่พึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เรียนรู้ พินิจ และเดินตามประสุปฏิปันโนที่พระเจ้าแผ่นดินทรงเลือกแล้วเป็นอย่างดี เพื่อนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่ความสงบร่มเย็นเป็นแผ่นดินธรรมกันให้ได้
และอย่าได้ละเมอเพ้อพกว่า เพียงท่านรูปเดียว จะสามารถจัดการปัญหากิจการพระพุทธศาสนาที่วิปริตผิดเพี้ยนกันอยู่ทั่วแผ่นดินของเราได้แต่เพียงลำพัง
จงทำหน้าที่ของเรา เมื่อได้ “ธงนำ” ที่บริสุทธิ์ผุดผ่องมาเป็นศรีแก่แผ่นดินและวงการผ้าเหลืองแล้ว
หน้าที่ของเรามีอะไรบ้าง
1) รู้จักหน้าที่ของชาวพุทธ ซึ่งประกอบไปด้วย สนใจใฝ่ศึกษาหลักการครองธรรม คือการประพฤติปฏิบัติ หรือดำเนินชีวิตด้วยศีลธรรมอันดี หมั่นศึกษาธรรมะ แล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน นั่นเรียกว่า ชาวพุทธผู้มีธรรม ครองธรรม และดำรงธรรม ส่งผลให้พระพุทธศาสนามีคุณค่าแท้จริงต่อผู้คน สังคม และโลก
2) ไม่เป็นส่วนหนึ่งของค่านิยมวิปริตผิดเพี้ยน แต่ประกอบกิจของชาวพุทธด้วยศรัทธาและปัญญาที่มาพร้อมกัน เช่น
2.1 การตักบาตรพระสงฆ์นั้น เป็นหน้าที่ของชาวพุทธในการเกื้อกูล “ผู้สละเรือน สละอาชีพการงาน” หมายเดินตามทรงธรรมที่พระพุทธองค์ทรงเดินนำและบอกทางไว้ เมื่อท่านไม่มีอาชีพการงาน ไม่อาจหุงหาอาหารฉันเองได้ตามหลักพระธรรมวินัยปกติ อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งเป็น “หุ้นส่วน” ใน “พุทธบริษัท” ก็ต้องเกื้อหนุนตามควร คือ ให้ท่านมีอาหารฉัน เพื่อประทังชีวิต ได้แก่ ร่างกายและจิตใจที่เป็นปกติ เพื่อใช้เป็นพาหนะหรือเครื่องมือเดินสู่การ “รู้ธรรม” ที่ยิ่งยวดขึ้นตามลำดับ โดยไม่ต้องกังวลกับเรื่อง “หากิน” เพียงแต่ทุกวันนี้ คนใส่บาตรก็ใส่เพื่อจะ “เอา” มิใช่เพื่อจะ“ให้” หรือ “เกื้อหนุน” ตามเหตุผลจริงแท้ ใส่บาตรเพื่อจะ “เอาบุญ”มาเป็นของตัว บาตรจะเต็ม จะล้น ของใส่บาตรจะพอกินหรือเกินกินอย่างไร หาได้ใส่ใจไม่ มีหน้าที่รับก็รับไปสิ ฉันจะทำ ฉันต้องการบุญกุศล มันจึงก่อให้เกิดพระโลภ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกับร้านขายข้าวแกง ชนิดยืนปักหลักอยู่หน้าร้าน บางร้านจัดเก้าอี้ให้นั่งเรียบร้อยนั่นมิใช่การบิณฑบาตแล้ว แต่เป็นกิริยาจำพวกเดียวกับ “ขอทาน”มิใช่ศิษย์ตถาคต เปรตผู้กระหายส่วนบุญ จึงมาพบกับโล้นห่มเหลืองผู้หระหายส่วนแบ่ง กุศลเกิดขึ้นหรือไม่ในการใส่บาตรเช่นนี้?
2.2 ถวายสังฆทานก็เหมือนกัน ถวายเข้าไป ไม่ได้สนใจว่าวัตถุประสงค์เดิมคือ ให้ในสิ่งที่ขาด สิ่งที่จำเป็น ทุกวันนี้สักแต่จะถวาย ฉันได้บุญ ส่วนเธอจะเอาไปไหน เหลือใช้ เวียนเทียนขายหรือไม่ ฉันไม่สนใจ ฉันแค่แวะมา “เติมบุญ” ของฉัน ฉันได้ถวายสังฆทาน ดับเคราะห์ สะเดาะโศก บุญเพิ่มพูน ฉันพอใจแล้ว สังฆทานวิปริตจึงเกิดขึ้นทุกหย่อมย่าน
2.3 เข้าวัดไหว้พระก็เช่นกัน พระพุทธเจ้ามิได้สอนให้ชาวพุทธเป็นเปรตหรือขอทาน ที่เที่ยวขอนั่นขอนี่ ไปไหว้พระที ทำบุญ 20 บาทขอไปสารพัด อธิษฐานจนตัวเองก็จำแทบไม่ครบไปไหว้พระ โดยมีพระพุทธรูปอยู่ตรงหน้า ก็เพื่อเตือนตนเองว่า บุคคลผู้เป็น “พระพุทธเจ้า”กำเนิดมาเป็น “มนุษย์” เยี่ยงเรา หากแต่ท่านสละ ละเลิก และปฏิบัติจนเข้าถึง “การตื่นรู้เบิกบาน” เข้าถึงการ “หลุดพ้น” จากเครื่องร้อยรัดถ่วงรั้งทั้งปวง ไยเราผู้เป็นมนุษย์เช่นกัน มิเดินตามทางสายนั้นไปเล่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่อง “อัตตา หิ อัตโน นาโถ” ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่เราก็ยังทำตนเป็น “คนขี้ขอ” อ่อนแอทางใจอยู่ร่ำไป
3) ฟังธรรมเป็นนิตย์ การใฝ่หาความรู้ความเข้าใจในธรรม นำมาสู่ “ปัญญารู้แจ้ง” เพื่อนำปัญญานั้นมาพิจารณาชีวิต และเป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิต อาศัย “ศรัทธา” อย่างเดียว ก็ “งามงาย”กลายเป็นเหยื่อพระโน้มทรัพย์ สำนักขายบุญ ค้าสวรรค์ กันมานักแล้วปัญญาไม่ยอมฝึกฝน กลัวคนจะรู้เท่าทัน ไม่ทำบุญ ไม่บริจาคให้อย่างง่ายๆ อีก ขณะเดียวกัน มีแต่ปัญญา ขาดศรัทธา ก็แข็งกระด้างหลงตัวเอง ไม่น้อมเข้าหาความรู้ใหม่ คือ ธรรมะ ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจอันถ่องแท้ต่อโลกและชีวิต หน้าที่เราชาวพุทธ จึงหมั่นลดอัตตาแสวงหาปัญญาความรู้ให้เพิ่มพูนขึ้น โดยเฉพาะปัญญาในทางธรรมดังนั้น หัดหิวกระหายการสดับพระธรรมเทศนากันบ้าง เมื่อญาติโยมปรารถนาการฟังธรรม ก็จะส่งเสริมให้สงฆ์ต้องศึกษาธรรมละนำมาถ่ายทอด ชาวพุทธทั้งหลายใน “พุทธบริษัท 4” ก็นับว่าได้เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน นำพากันไปในทางที่ประเสริฐ ดังที่พระพุทธองค์ทรงบอกไว้โดยง่าย
เหล่านี้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่หยิบยกขึ้นมา ว่า นอกเหนือจากความยินดีปรีดา ขอบคุณ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแล้ว ยังมี “หน้าที่ชาวพุทธ” ที่ต้องตระหนักและปฏิบัติไปด้วยกันอีกหลายเรื่องหลายด้านด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี