“อยากให้พี่ตูน วิ่งช้าลงหน่อย ถนอมร่างกาย แล้วรวมใจคนไทยไปตามทางวิ่ง ไปเรื่อยๆ ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ระหว่างทางนอกจากเงินบริจาคที่ได้รับมา ผมว่าพี่ตูนช่วยสร้างจิตสำนึกที่ดีและกำลังใจในสังคมไทยได้มากมาย จะวิ่งช้าลงสักหน่อย ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนไม่ว่าอะไร และอยากให้เป็นเช่นนั้น ถ้าเห็นด้วย โปรดช่วยกันแชร์ครับผม เราจะร่วมกันกับพี่ตูน ปลุกพลังบวกในสังคมไทยครับ” อาจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊ค
คำถามก็คือ เราควรจะเห็นด้วย หรือเห็นแย้งกับความคิดนี้ของ ดร.อานนท์
1) เห็นแย้ง-เพราะการวิ่งของ นายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม วางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้ว นอกเหนือจากเพื่อบริหารระยะทางและระยะเวลาของการวิ่งที่มีเป้าหมาย จากเบตงถึงแม่สายแล้ว ยังเป็นแผนการวิ่งเพื่อ “รักษาสุขภาพ” ของพี่ตูนด้วย เขาเสี่ยงที่จะประสบปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะ “กล้ามเนื้อสลาย” ซึ่งอันตรายมากๆ หากสังคมไทยยังเอาแต่ความต้องการของตัวเอง แม้จะตั้งอยู่บนความปรารถนาดี คือ อยากจะได้มอบเงินบริจาคกับมือพี่ตูน อยากให้พี่ตูนหยุดยิ้มให้ ทักทาย จับไม้จับมือ และถ่ายรูปด้วยตลอดเส้นทาง “ร่างกายของพี่ตูน” จะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง ได้สนใจและให้ความสำคัญกันบ้างไหม?
จริงอยู่ ที่ตูนเริ่มออกวิ่งในเส้นทางที่ผู้คน “กำลังใจแห้งผาก” มานาน เมื่อมีคนดังที่เป็นคนดีลงไปในพื้นที่ ยิ้มให้ ถ่ายรูปด้วย กอดเด็ก จับมือผู้สูงอายุ ให้กำลังใจผู้ป่วยตลอดเส้นทางการวิ่งในแต่ละวัน มันคือ “น้ำทิพย์ชโลมใจ” แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเราจะ “ให้ความรู้” ว่า ในเวลาที่วิ่ง พี่ตูนควรได้วิ่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อเท้า หลัง กล้ามเนื้อ อันหมายถึงการ “เอาชีวิตเป็นเดิมพัน” ของพี่ตูนเขา เราควรทำให้พี่ตูนแข็งแรงและปลอดภัย อยากร่วมสมทบทุน มีช่องทางมากมายให้ช่วยได้ หรือระหว่างวิ่ง ก็มีทีมงานช่วยรับเงินบริจาคนั้นให้ โดยในแต่ละวัน ตูนมีจุดพักระหว่างวันหลายจุด ไปพบไปมอบ ไปให้กำลังใจกันที่จุดนั้นๆ ได้ไหม สร้างความ “มีวินัย” ไปด้วยกัน และไม่กดดันหัวจิตหัวใจของตูนเขามากนัก เหมือนเขาใจจืดใจดำที่ไม่แวะ ไม่ทักทาย ไม่คุยด้วย ไม่รับเงินเอง ฯลฯ
การวิ่งในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ของตูน มีข้อดีหลายมิติ
• กระตุกใจให้สูงขึ้น ผู้คนในสังคมเห็นค่าของการมีส่วนร่วม “ร่วมสร้าง-ร่วมเติมเต็ม” น้ำใจให้แก่สังคม หยิบยื่นสิ่งที่ตัวเองมี มาเสริมกับระบบงบประมาณแผ่นดิน เพื่อประโยชน์ของบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข และประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับประชาชนนั่นเอง
• วิ่งเพื่อให้คนหันมาสนใจ “การออกกำลังกาย” ซึ่งเป็น “ยาวิเศษ” น่าเสียดาย ที่ภาครัฐไม่ช่วยเติมเต็มและรณรงค์ส่งเสริมในส่วนนี้ ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้เกิดการตื่นตัวในการ “สร้างสุขภาพ” ก่อน “เจ็บไข้ได้ป่วย”
• เปิดทางให้คนที่เห็นปัญหาในระบบสาธารณสุขได้ออกมาพูด โดยที่ตูนไม่ต้องพูดเอง เพื่อให้สังคมได้เห็นปัญหาในภาพร่วม และคิดหาทางออกร่วมกัน ซึ่งปัญหาใหญ่กว่านั้น คือ จะเอาแต่ด่ากัน เหน็บแนมกัน หรือหันหน้าเข้าหากันเพื่อคิดวิธีแก้ปัญหา
เช่น แพทย์หญิงอรพรรณ์ เมธาดิลกกุล กรรมการแพทยสภา แกนนำกลุ่มพลังแพทย์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักงาน Thai Medical Law Service Office หรือ สำนักงานกฎหมายการแพทย์ ได้ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้ผ่าน เว็บไซต์ medhubnews.com ระบุว่า “การที่ประชาชนออกมาชื่นชม “ตูน บอดี้สแลม” ที่ทำโครงการก้าวคนละก้าวนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่เรื่องนี้ต้องแยกเป็นสองประเด็น” คือ อย่าดราม่า ใส่สีตีข่าวว่าทำไมคนในวงการแพทย์จึงต้องออกมาเหน็บแนม เพราะบุคลากรทางการแพทย์ตั้งใจทำงานกันเต็มที่ หมอ และ พยาบาล สหวิชาชีพทุกคนทำด้วยใจ พวกเขา
ไม่ได้เหน็บนักร้องดัง เพราะ “ตูน” เป็นคนดี ช่วยสังคม แต่ประเด็นไฮไลท์ก็คือ การวิ่งระดมทุนแบบนี้ สะท้อนให้เห็น “กองขยะ” กองโต ทำให้เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย วันนี้เราไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ระบบสาธารณสุขที่พังอยู่แล้ว ก็ยิ่งพังไปเรื่อยๆ หากยังบริหารกันแบบนี้
...ที่ผ่านมา เราพบว่าบุคลากรทางการแพทย์มีคุณภาพชีวิตย่ำแย่ลง ทำงานหนัก เราต้องมาดูข้อมูลทั้งระบบ แล้วจะรู้ว่าปัญหามันอยู่จุดไหน ทั้งๆ ที่เรามีงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งมันทำให้เห็นชัดเจนเลยว่า เรามีงบประมาณ แต่ถามว่า ทำไม? โรงพยาบาล
จึงขาดทุน และขาดแคลน สำหรับการขาดแคลนงบประมาณนั้น เราจะเห็นว่ามีการนำงบประมาณจัดสรรลงมา แต่ต้องบอกว่าจัดสรรลงมาแล้วทำไมจึงขาดทุน”
แพทย์หญิงอรพรรณ์เผยต่ออีกว่า นับตั้งแต่มีการบริหารงานรูปแบบหลักประกันโดยมีการตั้งหน่วยงานบริหารเงิน มีการกันงบประมาณไว้ที่ส่วนกลาง เพราะอะไร? ระบบการบริหารงาน การใช้งบคุ้มค่าไหม? การรั่วไหล? การกระจายตัวของงบประมาณ แต่สิ่งที่ต้องย้อนกลับมาพิจารณา คือ การบริหารงาน การบริหารงบของส่วนกลาง ดังนั้น ขอขีดเส้นใต้ “ตูน บอดี้สแลม” วิ่งอีกล้านล้านก้าว ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ตราบใด ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ก็พังเหมือนเดิม
วิเคราะห์ : สิ่งที่คุณหมอพูดนั้น เป็นเรื่องจริง คือ ในวงการสาธารณสุขของเรา มีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการจริงๆ แต่ก็ไม่เคยหาทางออกได้ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ยึดมั่นถือมั่นในความคิด ความเห็นของตน จนไม่อาจ “คิดร่วมกัน” หรือ “หาทางออกร่วมกัน” ได้
ทุกวันนี้ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สหวิชาชีพ ทำงานหนักจริงๆ ในขณะที่ความใส่ใจของผู้หลักผู้ใหญ่หรือระบบมีน้อย อย่างกรณีล่าสุด หากพยาบาลไม่ออกมาประท้วงว่าจะลาออกกันหมด กระทรวงสาธารณสุข จะเร่งรีบเกลี่ยตำแหน่งว่าง แล้วเจียดส่วนหนึ่งออกมาบรรจุตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพให้พวกเขาไหม ก็ไม่ จึงอยากให้กำลังใจคุณหมอว่าขอให้ใช้โอกาสนี้ พูดให้ชัดกว่านี้ ว่าปัญหามีอะไรบ้าง แล้วทางแก้เป็นอย่างไร เพื่อสังคมจะได้เข้าใจและเป็นแนวร่วมในการเรียกร้อง และจงระมัดระวังคำพูดของตนเองด้วย
เช่น คำพูดที่ว่า “ขอขีดเส้นใต้ “ตูน บอดี้สแลม” วิ่งอีกล้านล้านก้าว ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ตราบใด ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ก็พังเหมือนเดิม” ซึ่งในสังคมอ่านเร็ว อ่านน้อย อ่านไม่ถี่ถ้วน อ่านจากโทรศัพท์ ซึ่งเห็นไม่ชัด อ่านยาก จึงอ่านข้ามๆ ไปบ้าง จะดาหน้ากันออกมาด่าหมอเอาว่า เอ๊ะ ยังไง ยัยหมอคนนี้ แยกไม่ออกเหรอ ว่าปัญหาเชิงระบบ ปัญหาภายในองค์กรของพวกเธอ เธอก็ไปแก้กันสิ พี่ตูนเขาไม่ได้วิ่งเพื่อแก้ปัญหาการบริหารห่วยๆ ของพวกเธอนะยะ เขาวิ่งเพื่อช่วยหาทุนจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งระบบงบประมาณมันยังจัดหาให้ท่านไม่ได้ พี่ตูนเขา “ก้าวทีละก้าว” ตามวัตถุประสงค์ของเขาแล้ว พวกหมอล่ะ เริ่ม “ก้าว” เพื่อ “แก้” ปัญหาของตัวเองกันอย่างจริงจังอย่างพี่ตูนกันแล้วหรือยัง
2) เห็นด้วย หากเราจะเห็นด้วยกับข้อเสนของ ดร.อานนท์ แปลว่าพี่ตูนต้องล้มเลิกแผนการเดิมไปเลย ไม่ต้องสนใจว่าจะวิ่งถึงไหนในแต่ละวัน เปลี่ยนเป็นการวิ่งให้กำลังใจคนสองข้างทาง วิ่งสบายๆ วิ่งไปเรื่อยๆ หยุดคุยด้วย จับมือ ถ่ายรูป รับเงินบริจาคไป ถนอมร่างกายเอาไว้ ไม่ต้องเอาร่างกายไปเสี่ยงอีกแล้ว เอาแบบนี้เถอะ ได้เงินเหมือนกัน ความรักของคนสองข้างทางสำคัญกว่าแผนการวิ่งอย่างมีวินัยและมีความปลอดภัยทางการแพทย์ ถ้าจะเอาแบบนี้ก็ต้องไปคุยกับพี่ตูนเขาว่าทำแบบนี้เถอะ สังคมไม่ถือสาหรอก ว่าพี่ตูนจะวิ่งได้กี่กิโลเมตร จากไหนถึงไหน แค่ได้ยอดเงินตามความตั้งใจ และได้ “เติมเต็มหัวใจให้คนสองข้างทาง” ก็ดีงามยิ่งแล้ว ซึ่งพี่ตูนก็จะเป็นคนตัดสินใจ และก็บอกยากว่าสังคมส่วนใหญ่จะไม่มีคนแวะไปแขวะ ไปจิกกัดพี่ตูน ตามประสา“มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ” ซึ่งก็มีให้เห็นอยู่
ต้องระมัดระวังสังคมประเภท “ตื่นดี” แล้วแห่ออกมาถ่ายรูป หรือต้องได้มอบให้กับมือจึงจะชื่นใจ ด้วยสังคมแบบนั้นไม่ใช่หรือ ที่ทำให้คนแห่ไปหาพระดังๆ กันยกใหญ่ บริจาคเท่าไหร่ก็ได้หมด แต่วัดใกล้บ้าน วัดในชุมชนทรุดโทรม มีแต่กระดูกผีกับขี้แมวขี้หมาเกลื่อนวัด พระเณรนอนเงียบในกุฏิ ไม่มีการพัฒนาตน พัฒนาวัด เพราะญาติโยมไม่มา อยู่นอกสายตา อยู่อย่างขี้เกียจสันหลังยาวไปวันๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นไร เช้าก็ออกบิณฑบาต ญาติโยมก็ใส่บาตรอยู่แล้ว เพราะเขาทำเพื่อจะ “เอาบุญ” ของเขา เขาไม่ได้สนใจว่าเราดีชั่วอย่างไร แค่นุ่งเหลืองห่มเหลืองไป เป็นอันใช้ได้
ยังไม่รวมว่า ระหว่าง “ก้าวคนละก้าว” ของพี่ตูน ยังมีมนุษย์ที่หมกมุ่นกับอคติหรือความเจ็บป่วยทางใจของตัวเอง ออกมาโพสต์ข้อความประหลาดๆ เช่น การช่วยเงินตูน เท่ากับช่วยรัฐบาลทรราชย์ ซึ่งไร้ตรรกะเหตุผลสิ้นดี
หรืออย่างกรณี บรรณาธิการออนไลน์ของวอยซ์ทีวี เอาตูนไปยกหางให้เสี่ยตัน ด้วยการจับไปเทียบเคียงกัน ทั้งๆ ที่ตันทำเพื่ออะไรก็เห็นๆ กันอยู่ กิจกรรมซีเอสอาร์ ดันยอดขายน้ำหวานแต่งกลิ่นผสมสีให้ตนมียอดขายเพิ่มขึ้น แถมเอายอดเงินไปหักภาษีรายปี
ได้อีก แต่ตูนนั้น “ให้หมด” รวมไปถึงให้เวลาทำมาหากินของเขาด้วย ทุกวันที่วิ่งคือเวลาที่เขาเอาไปหารายได้เข้าตัวเองได้อย่างสบายๆ
แต่เขาก็ให้ใช่ไหมครับ
ยังไม่รวมว่า บรรณาธิการคนนี้ยังแวะไปแขวะว่า แต่ตัดงบกลาโหมมาไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ก็ได้ยอดเงินตามที่ตูนอยากได้แล้ว จริงๆ ถ้าคิดอีกด้าน ให้ตระกูลชินวัตรจ่ายภาษีให้ครบ โดยไม่ต้องมาถูกดำเนินคดี เรียกร้อง ต่อสู้กันอย่างปัจจุบัน ได้มากกว่านั้นอีกนะ แต่ความเป็นลูกจ้างของวอยซ์ทีวี ก็ทำให้เขาไม่พร้อมจะพูดประเด็นนี้ใช่ไหม
ส่วนประเด็นเรื่อง “ความยั่งยืน” คือ ให้สร้างระบบรัฐสวัสดิการนั้น ก็ควรช่วยกันเรียกร้องให้เกิดการเข้าสู่ระบบภาษี ยอมให้รัฐหักภาษี เก็บไว้เป็นกองทุนสวัสดิการ เหมือนๆ ประเทศทั้งหลาย โดยเฉพาะในยุโรปและสแกนดิเนเวียเขาทำกัน ในวัยทำงาน ทุกคนจ่ายภาษีกันหนักมาก แต่ในยามเจ็บไข้ได้ป่วย ในยามแก่เฒ่า ระบบรัฐสวัสดิการก็แข็งแรง ดูแลอย่างพร้อมสรรพเช่นกัน ถามว่าคนไทยพร้อมจะช่วยกันสร้างความแข็งแรงเช่นนั้นหรือยัง
ดังนั้น ระหว่างก้าวทีละก้าวของตูน จึงต้องยึดหลักดังคำกลอนของบรรณาธิการนิตยสารสีสัน นายทิวา สาระจูฑะ ที่ว่า
“วิ่งไปเถิด วิ่งไป
วิ่งด้วยหัวใจใสกระจ่าง
เมื่อต้นดีมีเป้าหมายที่ปลายทาง
หมาจะเห่าเอาบ้างก็ช่างมัน”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี