เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2560 มีรายงานข่าวว่ารัฐบาลได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจาก ADB หรือธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย จำนวนประมาณนับแสนล้านบาท ในขณะเดียวกันก็มีข่าวกระเส็นกระสายทางโซเชียลมีเดียว่า ในการทำสัญญากู้เงินครั้งนี้ ได้มีข้อกำหนดให้รัฐบาลไทยปฏิบัติหลายประการ
ข้อกำหนดดังว่านี้มิใช่ข้อกำหนดในเรื่องดอกเบี้ย ซึ่งโดยปกติแล้วการกู้เงินไม่ว่าจะเป็นกู้เงินส่วนบุคคลในประเทศหรือระหว่างประเทศ หรือระหว่างรัฐบาลกับองค์กรสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ก็จะมีการตกลงคิดดอกเบี้ยเป็นค่าตอบแทนเท่านั้น
ยกเว้นก็แต่เฉพาะการกู้เงินระหว่างประเทศกับองค์กรการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF สำหรับกรณีประเทศใดประเทศหนึ่งเจ๊งหรือกำลังจะล้มละลาย ดังที่ประเทศไทยเคยประสบมาแล้วเมื่อ พ.ศ.2540 จึงต้องกู้เงินจาก IMF และเพราะเหตุที่ประเทศกำลังเจ๊งหรือกำลังล้มละลาย IMF จึงต้องวางข้อกำหนดหรือข้อปฏิบัตินอกเหนือจากการคิดดอกเบี้ย เพื่อให้มีการฟื้นฟูสถานะทางการเงินของประเทศอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้นประเทศใดที่ยังไม่เจ๊ง หรือยังมีความสามารถในทางเศรษฐกิจ การเงิน การคลังแล้ว การกู้ยืมเงินทั้งหลายจึงตกลงกันเฉพาะในเรื่องดอกเบี้ยว่าจะเสียดอกเบี้ยกันในอัตรามากน้อยเพียงใด และระยะเวลาในการชำระหนี้จะสั้นยาวประการใด
เพราะเหตุนี้ข่าวที่กระเส็นกระสายเรื่องประเทศไทยตกลงกู้เงินจาก ADB โดยยอมรับข้อกำหนดบางประการ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ และเป็นเรื่องที่สำคัญเกี่ยวกับความเป็นความตายของประเทศชาติ เพราะรายงานข่าวดังกล่าวระบุด้วยว่าข้อกำหนดนั้นคือ
“ประเทศไทยจะมีการปรับโครงสร้างภาคการเงินและพัฒนาตลาดทุน
ประเทศไทยจะแปรรูประบบการศึกษา โดยเฉพาะจะต้องจัดให้กิจกรรมทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาชุมชนออกไปจากระบบ
ประเทศไทยจะต้องแปรรูประบบสาธารณสุข โรงพยาบาลระดับศูนย์ของรัฐ ให้ออกนอกระบบราชการ
ประเทศไทยจะปรับโครงสร้างภาคเกษตรกรรมและการจัดการทรัพยากรทั้งหมดตั้งแต่เรื่องน้ำ ต้นน้ำ ที่ดิน ระบบทรัพยากร ระบบสินเชื่อการตลาดและการวิจัย”
คุณ Siriwanna Jill ได้กรุณานำเรื่องดังกล่าวมาเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียและเป็นที่สนใจอย่างกว้างขวาง แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีรายละเอียด ซึ่งน่าจะมีรายละเอียดมากกว่านี้ และเป็นเรื่องที่จะต้องสืบสาวราวเรื่องกันต่อไป
ใครๆ เห็นข้อกำหนดดังกล่าวแล้วก็ต้องตกใจ เพราะแม้จะไม่เห็นรายละเอียด แต่เฉพาะเค้าโครงข้อกำหนดนั้นก็เป็นเรื่องที่ก้าวไกลออกไปจากการกู้ยืมเงินธรรมดา จนหนักหนาสาหัส กระทั่งน่าวิตกว่าจะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบและเสียหายใหญ่หลวง ถึงขั้นที่เรียกว่ายกบ้านยกเมืองให้ต่างชาติกันทีเดียว
ก็ต้องบอกด้วยว่า ADB นั้นคือธนาคารที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของประเทศไทย นั่นคือในจำนวนหนี้ต่างประเทศประมาณ 99% ของประเทศไทย เป็นหนี้ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถ้าหากพิจารณาในเชิงโครงสร้างแห่งหนี้แล้วย่อมส่งผลให้ประเทศไทยตกเป็นประเทศราชทางการเงินของญี่ปุ่นไปแล้ว
เพราะญี่ปุ่นเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของประเทศไทยรายเดียวเช่นนี้ จึงอาจเป็นที่มาของการออกข้อกำหนด ดังที่คุณ Siriwanna Jill ได้นำมาเปิดเผยไว้
ในชั้นนี้จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลก็ดี คณะรัฐมนตรีก็ดี ผู้ตรวจการแผ่นดินก็ดี สตง. หรือ ป.ป.ช. ก็ดี โดยเฉพาะสื่อมวลชนทั้งหลายควรจะได้แสวงหาความจริงในเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร เป็นความจริงตามที่คุณSiriwanna Jill ได้นำมาเปิดเผยหรือไม่ และมีรายละเอียดว่าอย่างไร
เพราะข้อกำหนดแบบนี้ถ้าหากพิจารณาในเชิงกฎหมายก็อาจกล่าวได้ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญและผิดกฎหมาย เพราะเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐกับองค์กรต่างประเทศที่มีผลทำให้ประเทศไทยจะต้องออกกฎหมายให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือระบบต่างๆ ของรัฐเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดนั้น
และในกรณีเช่นนี้รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติบังคับให้ต้องขอความเห็นชอบกับรัฐสภาก่อน ซึ่งถึงวันนี้เท่าที่สอบถามหรือติดตามข่าวสารที่ปรากฏในบ้านเมืองก็ไม่เคยมีผู้ใดได้รับรู้ว่ามีการขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาเช่นนั้นเลย
ที่สำคัญก็คือเรื่องนี้มีผลกระทบใหญ่หลวงทั้งต่อประเทศชาติและประชาชน ไม่เห็นหรือว่าแค่กรณีที่จะออกกฎหมายเพื่อเก็บภาษีค่าใช้น้ำจากเกษตรกรเมื่อเดือนที่ผ่านมาก็ถูกพี่น้องเกษตรกรและประชาชนต่อต้านทั้งประเทศ จนถึงกับนายกรัฐมนตรีต้องออกปากว่า “กูสั่งแม่มันเมื่อไหร่วะ?” ทั้งนี้เนื่องมาจากมีผู้ไปแอบอ้างสั่งราชการว่ามีการสั่งให้ทำร่างกฎหมายและส่งร่างกฎหมายนั้นแก่ สนช. จนกระทั่งรัฐบาลถูกประชาชนด่าเตลิดเปิดเปิงมาแล้ว
แล้วลองนึกกันดูว่าถ้าหากจะต้องดำเนินการตามที่เป็นข่าว ดังเช่นการแปรรูปโรงพยาบาลหลักและสำคัญให้ออกนอกระบบจะเป็นอย่างไร? เพราะโรงพยาบาลใหญ่และโรงพยาบาลสำคัญๆ ของประเทศนั้นปัจจุบันนี้เป็นของรัฐ
เป็นโรงพยาบาลที่ส่วนใหญ่สร้างขึ้นด้วยน้ำพระทัยที่ทรงมีพระเมตตาคุณและพระมหากรุณาธิคุณที่อดีตพระมหากษัตริย์ทรงมีแก่ปวงชนชาวไทย และอีกจำนวนหนึ่งก็เป็นโรงพยาบาลที่พระบรมวงศานุวงศ์ทรงริเริ่มสร้างเพื่อประโยชน์ของประชาชน
ดังนั้นแม้จะเป็นโรงพยาบาลของรัฐ แต่ก็เป็นโรงพยาบาลที่สร้างโดยน้ำพระทัยที่ทรงเอื้ออาทรต่อพสกนิกร เป็นโรงพยาบาลที่อาณาประชาราษฎร์ได้พึ่งพาอาศัยในการรักษาพยาบาลมาช้านานแล้ว และรัฐบาลทั้งปวงที่ผ่านมาก็ได้ทำนุบำรุงสนับสนุนตั้งงบประมาณสนับสนุนช่วยเหลือตลอดมา
ถ้าหากว่าต้องถูกปรับออกจากระบบราชการแล้วจะไปอยู่ทางไหน? หรือจะปรับเป็นของเอกชนแบบ ปตท. ก็ยังไม่มีใครทราบได้ แต่เพียงแค่นี้ก็เกิดความประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นในจิตใจของคนไทยทั้งชาติแล้ว
ถ้าหากว่าข้อกำหนดดังกล่าวนั้นเป็นความจริง ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นข้อกำหนดที่จะเอากันถึงสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน สิ้นความเป็นไทกันเลยทีเดียว และย่อมเป็นเรื่องที่ไม่มีคนไทยคนไหนที่จะยอมรับได้
ดังนั้นจึงไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้เป็นที่สงสัยหรือหวั่นใจของประชาชนอีกต่อไป เป็นเรื่องอันสมควรยิ่งที่รัฐบาลควรจะได้ชี้แจงให้ประชาชนชาวไทยทั่วทั้งประเทศได้รับทราบว่าในการกู้ยืมเงินจาก ADB ครั้งล่าสุดเพื่อจะนำเงินมาใช้ในการพัฒนา EEC ที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรานั้น ได้ทำความตกลงกับ ADB นอกเหนือ
ไปจากอัตราดอกเบี้ยในเรื่องอะไรบ้าง
ถ้าหากมิได้มีการทำความตกลงดังที่เป็นข่าว คนทั้งหลายจะได้สบายใจและคลายความกังวลสงสัยอันจะเป็นผลดีแก่รัฐบาลโดยรวม
แต่ถ้าหากเป็นความจริง และเป็นเรื่องที่ผู้นำในรัฐบาลไม่ทราบมาก่อน หรือมีกรณีอันไม่เป็นไปตามกฎหมาย หรือจะเกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติและประชาชนแล้ว ก็จะสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที
จะได้ไม่เป็นเงื่อนไขให้ต่างชาติกล่าวหาว่าประเทศไทยทำผิดสัญญาหรือผิดข้อตกลง เพราะหากทราบเสียตั้งแต่ต้นก็สามารถคิดอ่านแก้ไขปัญหาให้ทันท่วงทีได้ และจะได้รู้กันเสียทีว่าในบ้านเมืองของเรานี้ยังมีใครประพฤติตนเป็นไส้ศึกที่คิดอ่านวางแผนยกบ้านยกเมืองให้กับต่างชาติอยู่อีก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี