อ่านข่าวทราบว่า นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา บางตอนพูดถึง “ประชาธิปไตยแบบผู้แทน” กับ “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม”
นายกฯ ประยุทธ์ ระบุในทำนองว่า หลายประเทศในโลกกำลังประสบปัญหาทางการเมืองคล้ายๆ กัน คือ การเมืองระบบตัวแทน ประเภทไปเลือกคนจากพรรคการเมืองมาเป็นผู้แทนกำลังมีปัญหา คนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา
“...นี่ผมยกตัวอย่างต่างประเทศให้ฟัง ที่เคยมีผู้ออกไปใช้สิทธิ์ เกือบร้อยละ 90 ในปี 1992 ลดลงมาเหลือประมาณ 66% ในปี 2012 ก็อาจกล่าวได้ว่า“ประชาธิปไตยในรูปแบบของสภาผู้แทน” นั้น อาจหมดสมัยไปแล้ว กลายเป็นยุค “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม” นี่เขาเขียนมานะครับ เป็นคนต่างประเทศ แล้วเป็นประเทศใหญ่ๆ ทั้งสิ้นนั่นแหละ เขาก็เขียนมา เราก็เอามาคิดดูสิว่า ควรจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคตนะครับ วันนี้เราก็จะแก้ไขอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น แต่เป็นการคิดเพื่ออนาคตนะครับ...”
1. เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า การเมืองไทยควรพัฒนาไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม
อันที่จริง ผมคิดว่า ประชาธิปไตยจักต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมเลยด้วยซ้ำ
การเมืองแบบตัวแทน แม้จะมาจากการเลือกตั้ง แต่ถ้าไม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม ก็ไม่สมควรนับว่าเป็นประชาธิปไตย
2. อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ประชาชนควรจะมีส่วนร่วมทุกด้านในการปกครองประเทศ
แต่คำว่า “ประชาชน” มันใหญ่มาก-กว้างขวางมาก เพราะมีประชากรมากกว่า 60 ล้านคน ดังนั้น การมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ จึงต้องมีการออกแบบวิธีการ รูปแบบการมีส่วนร่วม กติกาการเมือง ซึ่งหนีไม่พ้นว่าจะยังต้องมีการเมืองแบบตัวแทน หรือผู้แทนอยู่ต่อไป
แต่ผู้แทนประชาชนในยุคนี้ ก็จะต้องมีบทบาทใหม่
3. ผู้แทนประชาชน ไม่ว่าจะเป็น สส. สว. หรือรัฐบาล ฯลฯ แม้จะคัดเลือกมาตามระบบตัวแทน ซึ่งประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการได้มา เพื่อให้ได้ผู้แทนไปบริหารประเทศ ไปออกกฎหมาย ไปกำกับดูแลการบริหารราชการแผ่นดิน ฯลฯ เพื่อสร้างความยุติธรรมทั้งหลาย
ปัญหาใหญ่ที่พบ คือ ตัวผู้แทนเอง ไม่สำเหนียกถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน
ผู้แทน ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือไม่ เมื่อได้เข้าสู่อำนาจรัฐแล้ว ก็มักจะไม่ฟังเสียงของประชาชน
ในความเป็นจริง ตัวผู้แทนจะต้องตระหนักว่า การที่ประชาชนเลือกตั้งหรือแต่งตั้งมอบหมายให้ตนเองไปทำหน้าที่นั้น มิได้หมายความว่า ประชาชนเซ็นหนังสือมอบอำนาจให้ไปคิดตัดสินใจทำแทนประชาชนแบบเด็ดขาดไปเลย จนสามารถจะคิดเองเออเอง ตัดสินใจทำเองไปทุกเรื่อง โดยไม่กลับไปรับฟังความต้องการแท้จริงของประชาชน
การเมืองระบบผู้แทนยุคใหม่จะต้องปรับตัว คือ จะต้องคอยรับฟังประชาชน ตอบสนองความต้องการแท้จริงของประชาชน และจะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเมืองการปกครองอยู่ตลอดเวลา
4. การมีส่วนร่วมของประชาชน กับการขอความร่วมมือจากประชาชน เป็นคนละเรื่อง
การขอความร่วมมือ มักเกิดจากผู้มีอำนาจคิดตัดสินใจแล้ว ว่าจะทำอะไร อย่างไร แล้วก็ไปขอความร่วมมือจากประชาชนให้ปฏิบัติตามแนวทางและเป้าหมายที่ตนเองตัดสินใจไว้
นี่คือการขอความร่วมมือ ไม่ใช่การมีส่วนร่วม
การมีส่วนร่วมของประชาชน จะต้องเป็นการให้ประชาชนได้รับข่าวสารข้อมูลที่เที่ยงตรง ได้รับข้อเท็จจริงตรงไปตรงมา ครบถ้วน จากนั้นอำนวยการส่งเสริมให้ประชาชนได้ร่วมพิจารณาทางเลือกในการแก้ไขปัญหา ร่วมการวางแผน ร่วมตัดสินใจว่าจะเลือกแนวทางใด อย่างไร
ประชาชนจะต้องร่วมรับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น และร่วมรับต้นทุนผลกระทบที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการประเมินมาตั้งแต่ต้นว่า อะไรดีไหรือไม่ดี เหมาะสมหรือไม่
ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมจึงมีความหมายและทรงพลังมากกว่าประชาธิปไตยที่ประชาชนแค่ให้ความ
ร่วมมือกับผู้ถือครองอำนาจ
5. ผมจึงเชื่อมั่นว่า การเมืองไทยเราไม่พ้นที่จะต้องเดินไปสู่ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
สำคัญ คือ การตัดสินใจจะต้องให้ประชาชนตัดสินใจ ภายใต้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องครบถ้วน และผ่านกระบวนการที่ประชาชนได้ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมรับผลจากการตัดสินใจ
อย่างไรก็ตาม การเมืองภาคตัวแทน ก็ยังหนีไม่พ้น แต่จะต้องปรับบทบาทของผู้แทนให้ตอบสนองต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนเช่นกัน
คำถามสำคัญ คือ ถ้าคิดถึงประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมของประชาชน เราจะเริ่มดำเนินการเมื่อไหร่?
ผมเห็นว่า เราไม่ควรรอไปถึงการเลือกตั้ง
เราทำได้เลย หากผู้มีอำนาจในวันนี้จริงใจต่อประชาธิปไตยแบบประชาชนมีส่วนร่วมตามที่ท่านพูดจริงๆ
ตัวชี้วัดที่สำคัญ คือ การใช้มาตรา 44 ควรใช้ให้น้อยลง
เพราะการใช้มาตรา 44 สะท้อนถึงการตัดสินใจแล้ว และเป็นการขอความร่วมมือของประชาชน
จะต้องเพิ่มกระบวนการรับฟังความเห็น กระบวนการมีส่วนร่วม ซึ่งจะต้องออกแบบ และดำเนินการอย่างแท้จริง ไม่ใช่ทำเป็นพิธี
ประการสำคัญ คือ การกำหนดกฎเกณฑ์ที่จะใช้ในระยะยาว เพราะการปฏิรูปประเทศจะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม เนื่องจากการปฏิรูปประเทศนั้น ไม่มีทางทำสำเร็จในระยะเวลาแค่ 1-2 ปี จึงจำเป็นต้องให้ประชาชนร่วมรับรู้ ร่วมตัดสินใจ ร่วมรู้สึกเป็นเจ้าของ จะได้เป็นแรงกดดันสานต่อการปฏิรูปต่อไปในอนาคต
คสช. ควรตระหนักว่า การสืบทอดอำนาจไม่สำคัญหรือมีพลังเท่ากับการสืบทอดเจตนารมณ์ของการปฏิรูปประเทศ เพราะ คสช.ไม่มีวันจะอยู่ไปตลอด จึงควรจะต้องเริ่มสร้างประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนตั้งแต่วันนี้ ยิ่งเรื่องสำคัญยิ่งจะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป้นการปฏิรูปด้านต่างๆ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ฯลฯ เพราะถ้าประชาชนไม่รับรู้ ไม่มีส่วนร่วม ไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิรูป การต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้าง หลังจากนี้ไม่นาน สภาพปัญหาเก่าก็จะวนกลับมาอีก แล้วบทบาทระยะยาวก็จะกลับไปอยู่ที่ตัวนักการเมือง หรือผู้แทนในแบบเดิมๆ อีกครั้ง
6. การสร้างประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จอย่างหนึ่ง คือ จะต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น
ไม่ว่าจะเป็น เทศบาล อบจ อบต. ให้ได้บริหารจัดการปัญหาของตนเอง ซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายกันไปตามแต่ละท้องที่ ประชาชนจะได้มีส่วนร่วมในสิ่งที่ใกล้ตัว จับต้องได้ สัมผัสการเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ
นอกจากนี้ คนในแต่ละท้องถิ่นจะได้ฝึกการบริหาร ฝึกการเป็นผู้นำ ในระยะยาว ประเทศจะได้ไม่ขาดแคลนผู้นำที่จะสามารถพัฒนามาเป็นผู้นำประเทศต่อไป
7. ภายในระยะที่เหลืออยู่อีกไม่กี่เดือนก่อนการเลือกตั้งตามโรดแมป โค้งสุดท้าย รัฐบาล คสช.ควรจะเร่งดำเนินการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองให้คึกคักที่สุด
ส่วนกลุ่มพวกฉวยโอกาสเคลื่อนไหวปลุกระดมบิดเบือนข้อเท็จจริง ภาครัฐก็สามารถใช้กฎหมายปกติจัดการได้อย่างเด็ดขาดอยู่แล้ว
การเมืองผู้แทนยังต้องมี แต่จะต้องปรับบทบาท คสช. ควรเปิดพื้นที่ให้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน แต่ในทางสร้างสรรค์บ้านเมือง เช่น ให้พื้นที่ให้โอกาสพรรคการเมืองต่างๆ ได้แสดงออก ได้มีส่วนร่วมในการบอกกล่าวแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องใหญ่ๆ สำคัญๆ เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ เช่น ปัญหาไอยูยู ด้านการประมง ปัญหาด้านการบินพลเรือน ปัญหาค้ามนุษย์ ปัญหาทรัพย์สินทางปัญญา ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง พรรคการเมืองจะสานต่อการแก้ปัญหาอย่างไร? เรื่องยางพาราจะทำอย่างไร? เรื่องปฏิรูปตำรวจพรรคไหนจะทำอย่างไร? เรื่องหวยแพงจะทำอย่างไร? เรื่องระบบสาธารณสุข? เรื่องภาษีที่ดิน ภาษีทรัพย์สิน เรื่องลดความเหลื่อมล้ำ? ฯลฯ ถ้าพรรคการเมืองไหนไม่คิดจะทำอะไรที่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูป ประชาชนก็จะได้รู้กันไปด้วย
มิฉะนั้น ประชาชนจะไม่รู้สึกว่า การเมืองระบบผู้แทนลงมือแตะต้อง สัมผัส นำเสนอรูปธรรมที่เป็นประโยชน์จับต้องได้ มีแต่จะเคลื่อนไหวเรียกร้องเพื่อการเมืองแบบผู้แทนของตัวเอง
ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมเป็นทิศทางสำคัญ แต่ต้องควบคู่ไปกับการปฏิรูปบทบาทของประชาธิปไตยแบบผู้แทน ซึ่งควรจะต้องเริ่มต้นดำเนินการทันที ไม่ต้องรอเลือกตั้ง
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี