เมื่อต้นสัปดาห์ ประชาชน 2 กลุ่ม มาที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ฝั่งก.พ.) ยืนหนังสือถึงนายกฯรัฐมนตรี คือ เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานี ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา และเครือข่ายคนเทพาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนสนับสนุนหนุนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา เพราะรู้ดีว่าอนาคตภาคใต้ขาดแคลนไฟฟ้าแน่นอนถ้าไม่รีบสร้างโรงไฟฟ้าหลักขึ้นมา
ก็เป็นคนปักษ์ใต้ด้วยกันทั้งนั้น
ทาง นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน ก็บอกถึงประเด็นดังกล่าวว่า รับฟังคำแนะนำจากประชาชนทุกส่วน ทั้งยืนยันว่า ไม่ได้ยกเลิกการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้ แต่ที่ชะลอออกไป 3 ปี เพราะต้องการเห็นความชัดเจนก่อนการดำเนินงาน ทั้งความเหมาะสมของพื้นที่และความต้องการของคนในชุมชน ซึ่งมั่นใจว่ามีพื้นที่ที่แน่ชัดแล้วกระทรวงจะดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้เทคโนโลยีใหม่ ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมแน่นอน และเชื้อเพลิงถ่านหินยังสามารถช่วยลดภาระค่าไฟลงได้อีกด้วย
แต่ที่โดนลูกหลง คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รัฐวิสาหกิจของชาติ ถูกโจมตีว่าผูกขาดในกิจการไฟฟ้า ในเรื่องของการสร้างโรงไฟฟ้า
ความเป็นจริงแล้วทุกรัฐวิสาหกิจ แม้แต่ กฟผ.ก็ต้องทำตามนโยบายรัฐ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายให้เอกชนมาเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ามานานแล้ว จนปัจจุบันสัดส่วนการเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.ลดลงเหลือเพียง 38% เท่านั้น นอกนั้นเป็นของเอกชนและซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ
ที่ กฟผ.เป็นผู้รับซื้อ เพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า
ในปี 2532 รัฐมีนโยบายในการส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการผลิตไฟฟ้า ด้วยเหตุผลดังนี้ 1.เพิ่มการแข่งขันในกิจการพลังงาน ทำให้กิจการพลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และผู้บริโภค มีพลังงาน ใช้อย่างเพียงพอ ในราคาที่เหมาะสม, 2.ลดภาระการลงทุนของรัฐและลดภาระหนี้สินของรัฐ/ประเทศ, 3.ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ในกรณีของโครงการผู้ผลิตไฟฟ้า รายเล็ก (SPP) ซึ่งใช้ระบบพลังงานความร้อนร่วม (Cogeneration)เป็นต้น, 4.ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับบริการและคุณภาพไฟฟ้าที่ดีขึ้น, 5.สนับสนุนให้ประชาชน มีส่วนร่วม ในการพัฒนากิจการด้านพลังงานของประเทศ, 6.ช่วยพัฒนาตลาดทุน
รัฐบาลมีนโยบายลดภาระการลงทุนภาครัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า ทำให้ในปี 2535 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เรื่อง แนวทางในการดำเนินงานในอนาคตของ กฟผ. ซึ่งได้กำหนดขั้นตอนและแนวทางให้เอกชนมีบทบาทมากขึ้นในกิจการไฟฟ้าในประเทศไทย ให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนในการผลิตไฟฟ้าในรูปของ Independent Power Producer (IPP) และจะต้องขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. โดยก่อนหน้านี้ ได้มีมติเห็นชอบ เรื่อง ระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก Small Power Producer (SPP) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ซึ่งใช้พลังงานนอกรูปแบบ และเป็นพลังงานพลอยได้ในประเทศให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้นอีก ทั้งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า
กฟผ. ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล โดยประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนรายเล็ก ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 และประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนรายใหญ่ครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2537 โดยดำเนินการตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า ประกอบด้วย ประกาศรับซื้อไฟฟ้า (Request for Proposals : RFP) เอกสารต้นแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Model Power Purchase Agreement Model PPA) และเอกสารกำหนดมาตรฐานและเงื่อนไขทางเทคนิคเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าและการปฏิบัติการ (Grid Code) โดยมีบริษัทที่ปรึกษาเป็นผู้ร่วมดำเนินการ
กฟผ. ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าอยู่ภายใต้มติเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยได้กำหนดปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนทั้งรายใหญ่และรายย่อย ตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปัจจุบัน
มีรายละเอียดอีกเยอะแยะว่าซื้อจากใคร ที่ไหน อย่างไร แล้วจะนำมาเสนอให้อ่านกัน รวมทั้งข้อมูลการเสวนา หัวข้อ “ผ่าทางตัน : โรงไฟฟ้าถ่านหิน” เมื่อวันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งจัดโดย ชมรมคอลัมนิสต์ นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ไทย ครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี