เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ได้กล่าวกับนักเรียนไทย และนักธุรกิจไทยที่มาร่วมงานเลี้ยงรับรองที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ในกรุงลอนดอน เมื่อวันศุกร์ที่ 9 ก.พ. 2561 ว่า ขอให้ตระหนักว่าเมื่อจบการศึกษากลับไปทำงานที่ประเทศไทยแล้ว การบังคับใช้กฎหมายของไทย และสำนึกของนักการเมืองและผู้บริหารประเทศยังต่างจากของอังกฤษ การยึดหลักนิติธรรม (rule of law) ยังไม่เกิดขึ้นจริง
นพ.ธีระเกียรติยกตัวอย่าง กรณีที่ นายไมเคิล เบทส์ สมาชิกสภาขุนนางของอังกฤษ สังกัดพรรคอนุรักษ์นิยม ได้ประกาศลาออกจากสมาชิกสภาขุนนาง เนื่องจากรู้สึกละอายใจที่เข้าร่วมประชุมสภาสาย เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาแต่คำลาออกของเขาถูกนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรี ยับยั้ง
“แต่เมืองไทย มีนาฬิกาใส่ 25 เรือน ยังไม่เป็นไร” รมว.ศธ.กล่าวติดตลก ท่ามกลางความแปลกใจของบรรดาผู้บริหารบริษัทจากไทยที่มาร่วมรับสมัครงานนักเรียนไทยในอังกฤษ
หลังการปราศรัยเป็นเวลา 15 นาที จบลง นพ.ธีระเกียรติให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทย ว่า ไม่มีทางที่จะเห็นนักการเมืองไทยลาออก เพราะมาสาย
“ไม่มีทาง เพราะมันเป็น conscience (ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี) ลึกๆ อยู่ในสายเลือด การรู้ว่าอะไรควร อะไรถูก มาสายไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิด ethic (จริยธรรม)... เมื่อไม่ได้ฝึกมาแต่เด็กให้หน้าบาง ยาก เมืองไทย ไม่มีทาง เมืองไทยเป็นอย่างหนาตราช้าง”อดีตจิตแพทย์เด็กอาวุโสในอังกฤษกล่าว
ในส่วนเรื่อง “นาฬิกาหรู” ของ พล.อ.ประวิตรนั้นนพ.ธีระเกียรติ ซึ่งเป็นคนไทยที่ได้รับเกียรติเป็นสมาชิกของราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งสหราชอาณาจักร กล่าวว่า “เรื่องนาฬิกา ถ้าผมถูก exposed (เปิดโปง) เรือนแรก ผมก็ออกแล้ว อันนี้ถามผมนะ ส่วนใครจะว่าอะไร ให้ไปถามคนนั้น ของอย่างนี้ คนก็ไม่กล้าพูด กลัวอะไร ทำไม พูดแล้ว มันจะมาไล่ผมออกหรือ”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่กลัวทำให้เพื่อนร่วมคณะรัฐมนตรีเสียหน้าหรือ นพ.ธีระเกียรติ ผู้แต่งหนังสือเรื่อง “ความฉลาดทางด้านจริยธรรมและศีลธรรม (MQ)” กล่าวว่า ไม่เกี่ยวนี่
นี่มันความเห็นของผม ไม่ใช่ความเห็น ครม. อย่างนี้แปลว่าถ้าผมอยู่ที่ไหน ผมต้องคิดตามเขาหมดเหรอ ลูกผมยังคิดไม่เหมือนผมเลย... การคิดเหมือนกันคือหลัก “เผ่ากู” ซึ่งโตกว่า “หลักกู” นิดเดียว
ทันทีที่ข่าวนี้เผยแพร่ในเมืองไทย เสียงชื่นชมในความกล้าหาญของ “หมอธี” ก็ดังกระหึ่มขึ้น
เพียงชั่วข้ามคืน ทุกอย่างก็จบลงทันที เมื่อสื่อรายงานว่า
วันที่ 13 ก.พ. 2561 เวลา 12.10 น. นพ.ธีระเกียรติเจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เดินทางเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นการส่วนตัวที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อพูดคุยกรณีบีบีซีไทยเผยแพร่คลิปเสียง นพ.ธีระเกียรติให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นพาดพิงปมนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในระหว่างพบปะพูดคุยกับนักเรียนไทยในประเทศอังกฤษเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ในวันนี้ นพ.ธีระเกียรติ วันนี้ได้ขอลาประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เนื่องจากเพิ่งเดินทางกลับมาจากอังกฤษถึงไทยในช่วงเช้า
ภายหลังจากการพบกับนายกรัฐมนตรี นพ.ธีระเกียรติ ได้แถลงชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่า วันนี้ได้เดินทางมาพบ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือ ตนไปบรรยายให้กับนักศึกษาที่ประเทศอังกฤษฟัง ยอมรับว่าเสียงที่ได้ฟังนั้นเป็นเสียงของตนเองจริง แต่ในภาพกับในเสียงเป็นคนละตอนกัน เพราะตอนที่สัมภาษณ์นั้น เป็นการยืนคุยหลังการบรรยาย และไม่ทราบว่ามีการอัดเสียงและถามเรื่องนาฬิกาตนจึงถือว่าไม่ได้เป็นการสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ โดยคลิปเสียงที่ออกมาไม่ได้มีการตัดต่อ แต่เป็นภาพและเสียงไม่ตรงกัน และยอมรับว่าการแสดงความเห็นต่างๆ ของตนเป็นการผิดมารยาทที่มีการกล่าวถึงเพื่อนร่วมคณะรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ก็ได้ขอโทษท่านเพราะผมทำผิดมารยาท
“ส่วนที่มีข่าวออกไปว่าจะทำอะไรต่อ ผมยังยืนยันว่า ให้ความมั่นใจกับนายกรัฐมนตรี เพราะตนมาที่นี่ทำงานก็เพราะนายกรัฐมนตรี ผมยังยืนยันจะทำงานต่อจนกระทั่งท่านเห็นว่ามันไม่เหมาะแล้ว ตอนนี้ก็ยังอยู่ตรงนี้ ก็ยังยืนหยัดที่จะทำงานต่อไป ส่วนนายกรัฐมนตรี ก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เราก็อธิบายให้ท่านฟัง ผมก็ขอโทษท่านที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ” นพ.ธีระเกียรติ กล่าว
เมื่อหันไปดูปฏิกิริยาของ “คนเคยเชียร์” ทุกคนต่างสะบัดหัว พร้อมกับกล่าวว่า “มวยล้มต้มคนดูชัดๆ” และหมอธีก็กลายเป็น “ตัวตลกของสังคมออนไลน์” ในบัดดล
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ
1) หลักการเรื่อง “ความละอาย” เป็นสิ่งที่หมอธีแค่พูดไปหรือเขียนลงในหนังสือของตัวเอง สอนสั่งคนอื่น หรือมีอยู่จริงในการปฏิบัติของหมอ เราจะทำให้ “ความละอายนี้” เป็น“ความละอายต่อส่วนรวม” หรือ “ตัวใครตัวมัน” หากหมอธีคิดว่าการไม่มีความละอายนี้คือความไม่ดี ไม่ถูกต้อง หมอธีอยู่ร่วมกับ“ความไม่ละอาย” เช่นนั้นได้อย่างไร
2) บทสรุปของมัน เป็นแค่เรื่อง “ผิดมารยาท” หรือควรไปถึงขั้น “ผิดหลักการ” ด้วย หมอธีสำแดงความผิดหลักการให้คนไทยในอังกฤษได้คิด แต่พอถึงการปฏิบัติจริง ภาวะผิดหลักการด้วยการ “ย่อหย่อนต่อความละอาย” กลายเป็นแค่คำสวยๆ ทฤษฎีหรูๆ อยู่ในตำรา ไม่ต้องนำมาปฏิบัติจริงๆ อย่างนั้นหรือครับ
3) หรือที่จริงแล้ว หมอธีเป็นแค่พวกชอบ “นินทาเพื่อนลับหลัง” หรือที่เรียกว่า เก่งลับหลัง ดีลับหลัง แต่ต่อหน้า ลืมไปว่าที่เคยพูดไว้คืออะไร ทำไมหมอธีไม่ยืนยันสิ่งที่พูด ว่ายังคงเป็นเรื่องจริง จริงจัง จริงใจ และอยากให้นายกรัฐมนตรีมีระดับของ “ความละอาย” ทดแทนคนที่ “ไม่มี” เราขอโทษที่ผิดมารยาทไปพูดลับหลังอย่างนี้ แต่เรายังคงยืนยันทุกเนื้อถ้อยกระทงความที่เราพูดว่าเราต้องการเห็น “ความละอายเช่นนั้น” จริงๆ
4) อย่างไรก็ตาม คุณูปการอย่างหนึ่งของหมอธี คืองัดเรื่องนี้กลับมาอยู่เหนือเรื่อง “ฆ่าเสือดำ” ให้สังคมไทยได้ ก่อนที่จะเลือนหายไปจากการ “จับจ้อง” ของสังคมและสื่อมวลชน
5) ความต่อเนื่องของกระบวนการรณรงค์ใน change.orgแผ่วและหายไปกับกระแส “ฆ่าเสือดำ” ที่สังคมเกิด “อารมณ์ร่วม”ว่าเป็นเรื่องชั่วร้าย คราวนี้คงกลับมาได้และถูกตั้งคำถามใหม่ ว่า พล.อ.ประวิตร กับ พล.อ.ประยุทธ์ จะทำอย่างไร โดยใช้หลักการในคำพูดของหมอธีเป็นเครื่องมือ “บดขยี้” เรื่องนี้
6) พล.อ.ประวิตร นั้น ชัดเจนว่า ยืนอยู่บนหลักการของท่านว่า ผมไม่หนีการตรวจสอบ ยินดีให้ตรวจสอบ และร่วมมือกับการตรวจสอบ โดยผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบตามกฎหมายคือ ป.ป.ช.แต่ไม่ตอบคำถามสื่อและประชาชน เว้นเสียแต่เผยออกมาสั้นๆ ก่อนหน้านั้นว่า “ของเพื่อน ใส่วนไป คืนไปหมดแล้ว”
7) ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ท่านยืนอยู่บนหลักว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเอาเงินแผ่นดินไปใช้ จนเกิดความเสียหายหรือทุจริตแต่เป็นเรื่องทรัพย์สินส่วนตัวที่ตรวจสอบได้ และเขาตรวจสอบกันอยู่ จะเอาอะไรกันอีก
8) แต่สังคมนั้น เพ่งโทษไปว่า มันเป็น “ส่วย” จากใครหรือไม่ แทนที่จะให้เป็นเงิน ก็ให้เป็นนาฬิกา เป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยชอบหรือเปล่า ตอบด้วย!!
9) เมื่อคำอธิบายออกมาในรูปของ “นาฬิกาเพื่อน” สังคมก็ยังไม่เชื่อ ยอมรับเหตุผลนี้ไม่ได้ เพื่อนๆ ของพวกเขา ไม่เคยมีใครให้ยืมนาฬิกาแพงๆ (หรือแม้แต่ถูกๆ) มาใส่ เพราะเป็นของใช้ส่วนตัว และเมื่อถูกยันกลับมาว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องงบประมาณแผ่นดิน ก็เกิดประเด็นว่า การให้ยืมแบบนี้ เป็นวิธี “เลี่ยงบาลี” ของการ “ให้ของขวัญ-ของกำนัล” หรือไม่ในภายภาคหน้า หรือในอดีตที่ผ่านมา บุญคุณติดค้างกันนี้ เป็นแค่มิตรไมตรี หรือต้องมี “ประโยชน์ตอบแทน”
ดังนั้น ความสงสัยในเรื่องนี้จึงไม่มีที่สิ้นสุด เพราะยืนกันคนละจุด คนละหลักการ พอหมอธีออกมาเล่นในเชิงหลักการทางจริยธรรมและ “ความละอาย” จึง “ได้ใจ” จากสังคม แต่ก็ “ใจสลาย” ไปในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อหมอเปลี่ยนเป็น “ขอโทษ” และอยู่ร่วมกับคนแบบที่หมอวิจารณ์ได้ต่อไป
10) สิ่งที่สังคมยังขาด คือการ “ชี้ประเด็น” ว่า พล.อ.ประวิตร ทำผิดอะไร เช่น ผิดกฎหมาย ผิดจริยธรรม หรืออะไรกันแน่ อย่างชัดๆ แต่วิจารณ์กันคลุมๆ ไปในเชิงว่า “ไม่สง่างาม” รับไม่ได้กับเหตุผลที่ว่า “ยืมเพื่อนมา”
11) อยากให้สังคม “ตั้งข้อกล่าวหา” ให้ชัด และแจกแจงให้เห็นว่า การเอาผิด หรือพิสูจน์ถูกผิดในเรื่องนั้นๆ ต้องทำอย่างไร
12) ส่วน ป.ป.ช. ก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องนี้ให้สังคม“ยอมรับ” การตรวจสอบนั้นให้ได้ ด้วยการแจกแจงวิธีการตรวจสอบให้ละเอียดในวันแถลงผล
เพราะเมื่อดูรูปการณ์และองค์ประกอบแล้ว ผมก็ยังนึกไม่ออกว่า ป.ป.ช.ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบ “การทุจริต” จะเอาผิดอะไรกับ พล.อ.ประวิตรได้แค่ไหน ในเมื่อเขายื่นบัญชีทรัพย์สินเพียงครั้งเดียว ยังไม่มีบัญชีใหม่ให้เปรียบเทียบการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของทรัพย์สินและหนี้สิน หากเพื่อรับว่าเป็นของเพื่อน มีหลักฐานการแสดง “กรรมสิทธิ์” ป.ป.ช.ย่อมเอาผิดกับเขาไม่ได้ แต่สังคมก็จะไม่เชื่อ และก่นด่า ป.ป.ช.กันเซ็งแซ่แน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี