การตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามข้อสั่งการนายกฯที่นำโดย พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาฯ คสช. เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งในขณะนั้น และแสดงให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจังของรัฐบาล คสช. ในการปราบปรามการทุจริต แต่ในอีกมุมหนึ่งก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า ระบบการตรวจสอบที่มีอยู่ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมาย และผดุงความยุติธรรมในสังคมได้ ใช่หรือไม่? และตลอดรัฐบาลนี้ มีการตั้งศูนย์เฉพาะกิจเกี่ยวกับการประสานงานร่วมกับประชาชนแล้วกี่ศูนย์?
หากยังจำกันได้ หลังตั้งรัฐบาลคสช.ไม่นาน ได้จัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมดำเนินการรับเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชนแบบครบถ้วนเบ็ดเสร็จในศูนย์เดียว รวมถึงการรับเรื่องราวร้องทุกข์ประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐด้วย อย่างไรก็ตามคงมีเหตุผลในการแยกเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบออกมา ทั้งที่ในระบบก็มีหน่วยงานอย่าง ป.ป.ท. ป.ป.ช. ที่นอกจากมีหน้าที่พิจารณาและรับเรื่องอยู่แล้ว ใช่หรือไม่? อนึ่งในการแถลงผลงาน 9 เดือน พบว่ามีประชาชนมาร้องเรียนแล้วทั้งสิ้น 3,664 เรื่อง โดยเป็นเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบจริงๆเพียง 594 เรื่อง แต่ยังถือเป็นสัดส่วนที่มาก เมื่อเทียบกับระยะเวลา และเมื่อเทียบกับหน่วยงานปกติที่มีการรับเรื่องราวร้องทุกข์ขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ศูนย์นี้เป็นเพียงศูนย์รับร้องทุกข์แล้วส่งต่อให้หน่วยงานตามระบบปกติเช่นเดิม และยังไม่ใช่ทางออกของปัญหาที่แท้จริงของระบบราชการ เป็นเฉพาะเรื่องทุจริตเท่านั้น ที่นอกจากนั้นยังมีประเด็นเรื่องประสิทธิภาพขนาดของระบบราชการ ตลอดจนความไม่ยึดโยงกับประชาชนที่ยังคงเป็นปัญหาที่รอการปฏิรูปครั้งใหญ่ ซึ่งประชาชนเคยหวังไว้มากกับรัฐบาลชุดนี้ เมื่อวันที่พล.อ.ประยุทธ์รับตำแหน่ง เพราะเห็นว่านายกฯ มีความใกล้ชิดกับระบบราชการ รู้ปัญหาดี และตลอดสามปีก็ใช้ระบบราชการเป็นแขนขาแทนพรรคการเมืองมาตลอด ทำให้นึกว่าจะใช้โอกาสนี้ในการปฏิรูปครั้งใหญ่
เรื่องการปฏิรูปราชการ และการปฏิรูปตำรวจ ถือเป็นหัวใจสำคัญที่เรียกศรัทธาจากประชาชนของพล.อ.ประยุทธ์ หลังรัฐประหารใหม่ๆ แต่เวลาล่วงมา 3 ปีก็ยังไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรมนอกจากการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาประชุมและกฎหมายฉบับเดียวคือ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการฯ และต้องยอมรับว่ากฎหมายเอง ตอนนี้ก็ยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ขณะที่คณะกรรมการต่างๆก็ยังไม่มีผลงานอะไร สุดท้ายก็ไม่ต่างจากรัฐบาลอื่นๆก่อนนี้ตลอดช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ที่พยายามพูดถึงการปฏิรูประบบราชการที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญปี’40
แม้การปฏิรูปจริงเมื่อปี 2545 ซึ่งทีแรกก็นึกว่าจะได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงที่ดีขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งเรื่องประสิทธิภาพ ขนาด และงบประมาณที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปกลับได้ผลในทางตรงกันข้าม เพราะหลังจากปฏิรูปราชการ 2545 พบมีจำนวนข้าราชการเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวอยู่ที่ราว 2.2 ล้านคน ขณะที่เงินเดือนข้าราชการแรกเข้าเพิ่มจาก 9,000 บาท เป็น 15,000 บาท ซึ่ง
เงินเดือนแรกเข้าสูงกว่าพนักงานเอกชนในช่วงนั้นกว่า 10% ถ่วงรั้งให้งบลงทุนของรัฐต้องลดสัดส่วนลงทันที และยังคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาแตะ 7% ของจีดีพีแล้ว ทำให้เกิดคำถามว่าการเพิ่มขึ้นของจำนวนข้าราชการ และเงินเดือนข้าราชการนั้นดีขึ้นจริงหรือ? และเมื่อเทียบแล้ว เรากำลังมาถูกทางหรือไม่? ในขณะนี้ที่ต่างประเทศลดขนาดภาคราชการ ลดจำนวนข้าราชการ แต่เพิ่มเทคโนโลยีเข้ามาทดแทน
เมื่อปี 2545 ประเทศไทยตัดสินใจลดขนาดราชการโดยการเพิ่มกระทรวงใหม่อีก 6 กระทรวง ถ้ามองว่า เป็นการจัดกลุ่มใหม่เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์โลก หลายคนก็ดูจะเห็นด้วยที่ตั้งกระทรวงพลังงาน และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แต่กลายเป็นว่าเรามีกระทรวงที่ไม่ต้องยุบ แต่ตั้งกระทรวงเพิ่มขึ้นมาอีก จึงไม่ใช่ระบบการจัดกลุ่มกระทรวงใหม่ แต่กลายเป็นการขยายระบบราชการให้เทอะทะขึ้นไปอีก หรือการตั้งหน่วยงานใหม่อย่าง ก.พ.ร. โดยเข้าใจว่าเป็นกลไกสำคัญในการปรับปรุงระบบราชการแบบใหม่ตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นไป แต่สุดท้ายกลับพบว่า เราได้เพียงหน่วยราชการเพิ่มขึ้นมาหนึ่งหน่วย ในขณะที่หน่วยราชการเดิม ก็ยังทำงานแบบเดิม
นอกจากเรื่องขนาดและงบประมาณที่ทำให้กระบวนการเคลื่อนไหวราชการยุ่งยาก กฎหมายและระเบียบราชการก็ดูจะเป็นภาระมากกว่าช่วยเหลือประชาชน อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีการออกพ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกฯเข้ามากำหนดวิธีการรับคำขออนุญาต และลดขั้นตอนการพิจารณา ซึ่งต้องรอดูกันต่อไปว่า จะสามารถทำได้จริงหรือไม่ เพราะต้องยอมรับความจริงว่า กลไกด้านกฎหมายและระเบียบที่เป็นปัญหาของประชาชนแท้จริง นั่นคือการให้อำนาจข้าราชการในการอนุญาต ไม่อนุญาต อนุมัติ ตรวจสอบ หลายขั้นตอนมากมายที่แทรกซึมอยู่ในอำนาจของกฎหมาย กฎกระทรวง และระเบียบแต่ละกระทรวงที่นับวันจะยิ่งขยายขึ้น ไม่ลดลง
ระเบียบหลายอย่างถูกกำหนดขึ้นมากกว่า 40-50 ปีที่แล้ว ซึ่งยุคสมัยก็เปลี่ยนไป แต่ประชาชนยังต้องไปทำกระบวนการขอเอกสารเช่นเดิม อีกนัยหนึ่งนอกจากเป็นภาระในการดำเนินการแล้วยังเป็นภาระหน้าที่เกินความจำเป็น ถึงขนาดบางหน่วยต้องมีเจ้าหน้าที่เพื่อทำหน้าที่นั้นโดยเฉพาะ อีกปัญหาสำคัญหนึ่งคือ การให้อำนาจดุลยพินิจมากเกินไป นำไปสู่ความเสี่ยงที่อาจจะใช้อำนาจในทางมิชอบได้ หลายครั้งพบประเด็น การขออนุญาตของประชาชน จะผ่านได้ก็ต่อเมื่อดำเนินการด้วยวิธีพิเศษ
ปัญหาอีกประการของระบบราชการไทย คือการไม่ยึดโยงกับประชาชนและการบริหารแบบรวมศูนย์ โดยมีรูปแบบการทำงานในส่วนภูมิภาคเหมือนกันทั่วประเทศ ทั้งที่ในความเป็นจริง ปัญหาและความต้องการของประชาชนแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน ประกอบกับข้าราชการไม่ยึดโยงกับประชาชน ทำให้การกระทำในภูมิภาคที่มีต่อประชาชน ไม่มีผลต่อการประเมินความก้าวหน้าทางราชการ ซึ่งประเมินจากผู้บังคับบัญชาไม่ใช่ประชาชน จึงเกิดเหตุการณ์อย่างกรณีทุจริตกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต กองทุนเงินสงเคราะห์ชาวเขา กองทุนสงเคราะห์ผู้ยากไร้และผู้ป่วยโรคเอดส์ เป็นต้น
เอาเข้าจริงการปฏิรูปราชการ ที่ดูมีแววจะสำเร็จก็มีเพียงครั้งเดียว คือเรื่องการกระจายอำนาจ ตั้งแต่กระบวนการออกกฎหมายกระจายอำนาจและจัดตั้งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ทั้งจังหวัดและตำบล ด้วยพันธะเงื่อนไขที่ต้องกระจายทั้งงบประมาณและบุคลากร จากส่วนภูมิภาคสู่ส่วนท้องถิ่น ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกสมัยนายกฯชวน หลีกภัย และดูเหมือนจะหยุดชะงักและเปลี่ยนทิศทางในรัฐบาลระบอบทักษิณ ใช่หรือไม่? อย่างไรก็ตาม รัฐบาลปัจจุบันยิ่งดูจะทำให้การกระจายอำนาจลดลงไปอีก? เพราะเอาเข้าจริง การปฏิบัติของราชการส่วนท้องถิ่นมีผลโดยตรงและความรู้สึกยินดีของประชาชนก็มีผลโดยตรงต่อผู้บริหารองค์การส่วนท้องถิ่นเช่นกัน เห็นได้จากกรณีโรคพิษสุนัขแพร่ระบาดปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า ยึดติดกับหน่วยงานของราชการปกติ จากกรณีระงับท้องถิ่นไม่ให้สนับสนุนประชาชนในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งแม้ท้องถิ่นจะไม่มีอำนาจ แต่ด้วยกลไกของการเมืองท้องถิ่นทำให้ผู้บริหารท้องถิ่นต้องหาทางแก้ไขปัญหาให้ได้ หรือแม้กระทั่งล่าสุด อีกหนึ่งสาเหตุก็พบว่าข้าราชการกรมปศุสัตว์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตวัคซีน ซึ่งหากเป็นเรื่องจริง ก็ยิ่งตอกย้ำเรื่องความไม่ยึดโยงประชาชนกับส่วนภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อภาคประชาชนมากกว่า
ดังนั้นประชาชนยังคงฝากความหวังไว้ที่รัฐบาลคสช.โดยพล.อ.ประยุทธ์ ที่มีอำนาจเต็ม ให้ใช้อำนาจช่วงสุดท้าย ปรับรื้อโครงสร้างระบบราชการที่มีความใหญ่โตเทอะทะ การใช้ดุลพินิจที่มากเกินไปในข้าราชการปัจจุบัน และปัญหาความไม่ยึดโยงกับประชาชนของข้าราชการส่วนภูมิภาค ทางออกหนึ่งที่ทำได้คือ สนับสนุนการขยายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้มากที่สุด ตลอดจนผลักดันให้เกิดการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยประชาชนเสียที......
…………………
“...รอยขาดของเสื้อผ้าปะเย็บได้ แต่บาดแผลที่หัวใจ
มิว่าผู้ใดก็ไม่อาจเย็บสมาน...”
คำคมโกวเล้งจากเรื่อง ฤทธิ์มีดสั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี