ต่อกรณีโครงการบ้านพักผู้พิพากษาเชิงดอยสุเทพ หรือ “บ้านป่าแหว่ง” นั้น “สารส้ม” ได้สรุปความเห็นทิ้งท้ายไว้ในคอลัมน์เมื่อวานนี้แล้วว่า
“... ขอเรียกร้องให้รัฐบาล คสช. ยุติโครงการนี้ และห้ามมิให้ใช้ประโยชน์จากสิ่งปลูกสร้างเด็ดขาด ไม่ว่าจะรื้อหรือไม่รื้อก็ตามแต่ และขอเรียกร้องให้คนในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาขอขมาดอยสุเทพ ที่บังอาจอนุมัติโครงการพรรค์อย่างนี้ จนกลายเป็นมรดกบาปต่อสังคมจนถึงปัจจุบัน”
วันนี้ เจอข่าวที่ทำให้ต้องขอเพิ่มเติมความเห็นอีก นั่นก็คือ การแสดงท่าทีการเคลื่อนไหวของบรรดาผู้ที่มีวาระแอบแฝงทางการเมือง จ้องจะดิสเครดิตรัฐบาล คสช. หรือสร้างสถานการณ์-สร้างเงื่อนไขทางการเมือง โดยฉวยโอกาสผสมโรงเข้าไปในการเคลื่อนไหวของชาวเชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อว่าคงมีเจตนาดีต่อการอนุรักษ์ดอยสุเทพอย่างแท้จริง
แต่มันจะมี “เหลือบ” จำพวกแอบแฝงผสมโรง โดยใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่เป็นเท็จ มากขึ้นทุกวัน กลุ่มเคลื่อนไหวทวงคืนผืนป่า ควรตระหนักถึงเรื่องนี้ด้วย แล้วควรกำจัดเหลือบพวกนี้ออกจากตัวด้วย
1. น่าเวทนา... นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษานปช. ได้กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของชาวเชียงใหม่ในกรณี “ป่าแหว่ง” อ้างว่า เป็นอุทาหรณ์ให้กับรัฐบาลและผู้ที่ไม่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตย
“...ประชาชนออกมาต่อต้าน ประชาชนบอกว่าเขาอยู่มา 700 กว่าปี นี่คืออาณาจักรของเขานะ “อาณาจักรล้านนา” ความภาคภูมิใจในศักดิ์ของคนอาณาจักรล้านนา ในสิทธิ์และในความศักดิ์สิทธิ์ ที่ถือว่าดอยสุเทพเป็นป่าที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของคนเชียงใหม่ นี่จะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับรัฐบาลที่ให้เข้าใจว่า อย่าคิดว่ามีอำนาจทางการเมือง (ซึ่งมาจากการทำรัฐประหาร)เขียนกฎหมายขึ้นมา แล้วบอกว่าทำถูกกฎหมาย อย่าคิดว่าอะไรถูกกฎหมายแล้วจะทำได้นะ”
น่าสงสัยว่า นางธิดาไม่รู้จริงๆ หรือว่า โครงการบ้านป่าแหว่งนั้น เขาตัดสินใจเลือกที่ดินที่ตั้งโครงการกันในสมัยไหน ยุคเผด็จการหรือยุคประชาธิปไตย? และจัดสรรเงินให้ก่อสร้างกันในยุคไหน เซ็นสัญญากับผู้รับเหมาในยุคไหน ยุครัฐบาลเผด็จการหรือประชาธิปไตย?
วันนี้ ถึงได้หลับหูหลับตาออกมาประณามรัฐบาลปัจจุบัน
แหกตาไปหาข้อมูลอ่านเสียบ้าง...
โครงการก่อสร้างบ้านพักผู้พิพากษาที่ตั้งอยู่บนสุด (ที่ถูกเรียกว่า หมู่บ้านป่าแหว่ง) สำนักงานศาลยุติธรรม ออกประกาศเชิญชวนเอกชนที่สนใจเข้าร่วมประกวดราคาจ้างก่อสร้างงานโครงการนี้ เมื่อวันที่ 9 ก.พ.2556 ตั้งงบกลางไว้ที่ 343,461,000 บาท ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ต่อมา มีเอกชนสนใจเข้าซื้อซอง กว่า 20 ราย แต่มีเอกชน 4 ราย ยื่นซองเสนอราคาเป็นทางการ ได้แก่ บริษัท งามวงศ์วานการช่าง จำกัด บริษัท วรนิทัศน์ จำกัด บริษัท พี.เอ็น.เอส.ไซน์ จำกัด บริษัท แอลที พรอบเพอร์ตี้ จำกัด
สุดท้าย บริษัท พี.เอ็น.เอส.ไซน์ จำกัด เสนอราคาต่ำสุดอยู่ที่ 342,941,000 บาท
ต่ำกว่าราคากลาง 520,000 บาท
ได้เข้าทำสัญญาเป็นทางการ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.2556 ตกลงราคาครั้งสุดท้ายอยู่ที่ 342,900,000 บาท
เซ็นสัญญาผูกมัดกับผู้รับเหมาเอาไว้แล้ว ว่าจะต้องสร้างบ้านพักแบบนี้ ขนาดแต่ละหลังเป็นรูปทรงแบบนี้ จำนวนเท่านี้ ด้วยงบประมาณเท่านี้ บนทำเลที่ตั้งตรงนี้ ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ส่วนที่ดินที่ก่อสร้างนั้น ทำเรื่องขออนุญาตสำเร็จกันตั้งแต่ช่วงปี 2547 – 2549 ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
ตกลงว่า รัฐบาลเผด็จการปัจจุบัน เข้ามารับมรดกบาปจากรัฐบาลทายาทอสูรประชาธิปไตยพุงปลิ้นนั่นแหละทิ้งไว้ให้แก้ปัญหา
เอาง่ายๆ... ทำไมไม่ไปถามอดีต สส. อดีตรัฐมนตรี หรืออดีตนายกฯ ที่เป็นคนเชียงใหม่ เคยอยู่ในตำแหน่งช่วงที่มีการอนุมัติใช้ที่ดินและอนุมัติงบประมาณก่อสร้างโครงการป่าแหว่งดูบ้างล่ะ? ทำไมถึงปล่อยให้เกิดโครงการแบบนี้ในช่วงที่ตนเองมีอำนาจหน้าที่อยู่แท้ๆ
น่าจะลองไปง้างปากให้พูดบ้าง? รักเชียงใหม่จริงรึเปล่า? หรือหงอกับนักการเมืองในพื้นที่?
2. ย้ำว่า คนที่ออกไปเคลื่อนไหวจำนวนมาก เป็นคนที่เจตนาดีต่อการอนุรักษ์ป่าดอยสุเทพอย่างจริงใจ
แต่มันมี “เหลือบ” พยายามโดดเกาะ
นอกจากนี้ ยังมี “ยาพิษ” แอบแฝงผสมโรงเข้าไปอีกด้วย เช่น มีบางคน นำเสนอภาพการเคลื่อนไหวของประชาชนทวงคืนป่าดอยสุเทพ แล้วโพสต์ข้อความในทำนองว่า ควรปลดแอกจากส่วนกลาง งบประมาณจากภาษีอากรที่เชียงใหม่ได้รับจะเต็มเม็ดเต็มหน่วย สามารถนำไปพัฒนาจังหวัดได้มากกว่านี้
ข้อเท็จจริง คือ เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่ได้รับจัดสรรงบประมาณสูงสุดเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ
ปีงบประมาณ 2561 ได้รับจัดสรรถึง 25,000 ล้านบาท
โครงการลงทุนขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง ซุปเปอร์ไฮเวย์ เขื่อน ระบบชลประทาน โครงการสร้างพื้นฐาน ฯลฯ ล้วนแต่ได้รับการสนับสนุนจากงบประมาณของประเทศส่วนรวมมาโดยตลอด เพราะเชียงใหม่ถือเป็นเมืองสำคัญของประเทศไทย
เอาง่ายๆ... หากมีเจตนาต้องการส่งเสริมการกระจายอำนาจ หรือตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ ขอแนะนำให้คนเชียงใหม่ที่รักเชียงใหม่จริงๆ ทำไมไม่ลองไปตรวจสอบ อปท. ที่จังหวัดเชียงใหม่บ้างล่ะ ที่ผ่านมางบประมาณมหาศาลในแต่ละปีถูกใช้จ่ายไปอย่างไรบ้าง?
ยกตัวอย่าง เทศบาลนครเชียงใหม่ เป็น 1 ใน อปท.ที่จัดซื้อรถดูดสิ่งปฏิกูลและฉีดล้างท่อระบายน้ำ (รถดูดโคลน) คันละเกือบ 18 ล้านบาท
เมื่อเดือน พ.ย.2555 เทศบาลนครเชียงใหม่ โดยนายทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรี ออกประกวดราคาซื้อรถดูดสิ่งโสโครกและฉีดล้างท่อระบายน้ำ จำนวน 1 คัน กำหนดราคากลาง 18 ล้านบาท
มีผู้รับเอกสาร 3 ราย คือ บริษัท ราชาอีควิปเมนท์ จำกัด บริษัท บ้านครองทรัพย์ จำกัด และบริษัท มณีสร จำกัด และยื่นเอกสารทั้ง 3 ราย
วันที่ 10 ม.ค.2556 เทศบาลนครเชียงใหม่ โดยนายทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรี ประกาศให้บริษัท ราชาอีควิปเมนท์ จำกัด เป็นผู้ชนะ ราคา 17,965,000 บาท ทำสัญญาวันที่ 1 ก.พ. 2556 (สัญญาเลขที่ 3/2556)
นอกจากสัญญาข้างต้นแล้ว สำนักข่าวอิศรายังเปิดเผยด้วยว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ย.2555 นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ได้ทำสัญญาจัดซื้อรถดูดสิ่งปฏิกูลจากบริษัท รอยัลมอเตอร์เวอร์ค จำกัด (อยู่ในเครือเดียวกับบริษัทแรก) อีกจำนวน 2 คัน ในราคา 35,970,000 บาท (เฉลี่ยคันละ 17,985,000 บาท) ทำสัญญาเลขที่ (สัญญาเลขที่ 1/2556)
เป็นอันว่า เทศบาลนครเชียงใหม่จัดซื้อรถดูดสิ่งปฏิกูล จำนวน 3 คัน 53,935,000 บาท
ขณะนี้ ปปป.ในยุคนี้ กำลังดำเนินคดีกับขบวนการทุจริตจัดซื้อรถดูดโคลนขนานใหญ่
ปรากฏว่า เชียงใหม่ก็อยู่ในข่ายที่ถูกสอบสวนอยู่
แบบนี้ คนที่รักเชียงใหม่ ต้องการเห็นเชียงใหม่พัฒนา จริงใจกับการกระจายอำนาจ อย่าได้อยู่เฉย อย่าให้ใครผลาญเงินที่ควรใช้พัฒนาเชียงใหม่อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
คนที่รักดอยสุเทพจริง รักเชียงใหม่จริง ต้องช่วยขจัดเหลือบตัวจริง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี