กำหนดการเลือกตั้งเริ่มชัดเจน จากการแถลงของรองนายกฯ ถึงกรอบเวลาว่าอยู่ที่ กุมภาพันธ์ 2562 หรือไม่เกินต้นพฤษภาคม ที่คราวนี้คงกลืนน้ำลายตัวเอง และเลื่อนเลือกตั้งไม่ได้แล้ว รวมถึงการประกาศกรอบเวลาที่จะปลดล็อกพรรคการเมืองในเร็วๆ นี้ ให้สามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้ สอดรับกับการเคลื่อนไหวของคนเบื้องหลังพรรคเพื่อไทยที่ออกมาแสดงความเป็นเจ้าของพรรคอย่างชัดเจน เพื่อเรียกขุมกำลังให้เตรียมความพร้อมจากที่ปล่อยปละละเลยมานาน แม้ว่าในไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเพิ่งจะออกมาบอกเองว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยแล้วก็ตาม
“คิดฮอดบ้านแฮง” คำพูดสั้นๆ ของอดีตนายกฯทักษิณในวันเลี้ยงวันเกิดน้องสาว ในร้านอาหารอีสานเขียว กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ที่สำทับด้วยการขยายความชื่อร้านว่า ไม่ใช่เพียงร้านอาหารที่ชื่ออีสานเขียว แต่เพื่อไทยก็จะได้อีสานเขียวทั้งอีสานเช่นกัน เหมือนจะเป็นคำพูดธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา เพราะการเจาะจงสื่อสารกับทั้งประชาชน และเหล่า สส. อีสานเพื่อไทยว่าอย่าแตกแถว และที่สำคัญสื่อสารไปถึงเหล่ากลุ่มมวลชนแกนนำแดงอีสานถึงการจะกลับมาของเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง โดยไม่สนว่า สส. จะย้ายพรรคหรือไม่?
ทั้งหมดอาจจะยังไม่ชัดเจนมาก แต่ที่ชัดเจนกว่าคือการให้สัมภาษณ์ของอดีตนายกฯ ทักษิณ กับบีบีซี ที่ออกมาประกาศตัวชัดเจนถึงอนาคตของพรรคเพื่อไทย ว่าจะเป็นอย่างไร พร้อมการประกาศอย่างมั่นใจ เชิงขู่ว่า ไม่มีใครออกจากพรรคเพื่อไทย และไม่ได้รับผลกระทบจากพลังดูด และพวกที่ไปก็เป็นพวกเดิมๆ พรรคใหม่ของรัฐบาลใช้อำนาจบังคับข่มขู่ด้วยคดีต่างๆ เพื่อให้ย้ายพรรคไปร่วมพรรคตัวเอง แต่หากวิเคราะห์ให้ชัดขึ้น นี่คือความพยายามในการต่อต้านพลังดูดที่ชัดเจน เพราะถึงตอนนี้บอกได้ว่า พรรคเพื่อไทยกำลังอยู่ในที่นั่งที่ไม่สบายมากนักเพราะกำลังถูกพลังดูดเล่นงานอย่างสาหัสพอควรเนื่องจากพื้นที่แถบอีสานคือพื้นที่ที่กล่าวกันในวงการเมืองว่า ใครครองได้ ได้เป็นรัฐบาล ฉะนั้นแล้วพรรคเพื่อไทยเองกำลังเผชิญกับแรงดูดที่แม้แต่บิ๊กบอสมาออกโรงเองก็ไม่อาจต้านทานได้มากนัก เพราะสมัยก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ก็เริ่มต้นด้วยวิธีที่ไม่ต่างกันหรือไม่?
คำว่าเดิมๆ ของทักษิณนี้มีความหมาย หากย้อนไปสมัยการเลือกตั้งปี 2544 ครั้งไทยรักไทยชนะเลือกตั้ง ในยุคนั้นผู้นำพรรคไทยรักไทยก็ใช้กระบวนการกวาดต้อนเหล่า สส. แตกทัพทั้งหลายมาร่วมพรรคด้วยหลากหลายวิธี ประการแรกตั้งแต่การเริ่มจัดตั้งพรรคก็มีการกวาดต้อนเหล่า สส. พรรคเล็กเข้ามาร่วม พอจัดตั้งรัฐบาลแล้วก็ยังมีการควบรวมพรรคเสรีไทย เข้ามาร่วมพรรคไทยรักไทยอีก โดยหากวิเคราะห์ดูผลจากการชนะการเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทยครั้งแรกจะเห็นได้ว่ามีที่นั่ง สส. ไม่ต่ำกว่า 80 คนที่เป็น สส.เดิมที่เทครัวมา ยังไม่นับรวมที่สอบตกไป ประการที่สองคือการใช้คดีในการควบคุม สส. โดยให้การคุ้มครอง
เหล่า สส.ในสังกัดให้ไม่ได้รับผลกระทบจากความผิด เช่น ในสมัยอดีตนายกฯ ระบอบทักษิณ เคยอ้างอำนาจทางการเมืองในการปราบปรามผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเป็นธรรม ความเท่าเทียมในสังคม แม้อำนาจดังกล่าวถูกใช้เล่นงานผู้มีอิทธิพลเพื่อจัดการปัญหาจริง แต่ก็เปิดช่องให้รัฐบาลสามารถกวาดต้อนเหล่าเจ้าพ่อในหัวเมืองต่างๆ เข้ามาร่วมทัพเพื่อเพิ่มความแข็งเเกร่ง เช่น การจัดการเจ้าพ่อเมืองกาญจน์ที่ดูเหมือนจะเอาจริงเอาจัง แต่จู่ๆ เรื่องนี้ก็หายไปและเหล่าเจ้าพ่อเมืองกาญจน์ก็ถูกกวาดต้อนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของไทยรักไทย หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ เรื่องของเจ้าพ่อเมืองชล ที่ถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของไทยรักไทยในที่สุด ส่วนผู้ที่ไม่ยอมอ่อนข้อก้มหัวให้ก็จะถูกจัดการด้วยอำนาจตามกฎหมาย ตัวอย่างเช่น กำนันเซี๊ยะที่โดนดำเนินคดีในกรณีบุกรุกที่ราชพัสดุ เป็นต้น
สิ่งที่หัวหน้าใหญ่กำลังอ่านเกมออกก็คือสิ่งที่ตัวเองเคยทำมาตลอด เพียงแต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปจากมวยหลักเป็นมวยรอง ทำให้ต้องออกโรงมาเรียกความมั่นใจด้วยตัวเองก่อนสถานการณ์จะแย่ไปกว่านี้ เพราะประเมินจากรายชื่อกว่า 30 คนที่หลุดออกมาว่าถูกดูดไปพรรคใหม่ของรัฐบาล ก็เป็นรายชื่อ สส. เดิมที่เคยเป็นมือไม้อดีตนายกฯมาก่อน รวมถึงตระกูลจึง ที่ออกมาเปิดตัวแน่นอนพร้อมอดีตสส. จังหวัดเลย ที่จะย้ายพรรคไปร่วมพรรคใหม่ทหาร ถ้าจะบอกว่าเรื่องการดูดเป็นเรื่องปกติก็คงใช่ แต่ถ้าจะบอกว่าผิดก็เหมือนกำลังลืมดูตัวเองว่าสิ่งเหล่านี้ก็เคยทำมาก่อน
การประกาศตัวของพี่ใหญ่ตระกูลจึง ที่จะไปร่วมกับพรรคทหาร กำลังสร้างศึกเล็กๆ ในตระกูลจึง ที่ฝั่งหนึ่งหันไปซบอกทหาร อีกฝั่งหนึ่งแม้ไม่อยู่พรรคเดียวกัน แต่ความเป็นหนึ่งเดียวกับเพื่อไทย ทั้งในสายสัมพันธ์ส่วนตัวใช่หรือไม่? เพราะเคยเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มมวลชนเสื้อแดง และตอนนี้ก็เสนอการแก้รัฐธรรมนูญ และนิรโทษกรรม ที่มีจุดเหมือนกัน รวมถึงเรื่องทีมงานหลังบ้านที่ดูน่าสงสัยว่า จะมีการถ่ายโอนสรรพกำลังมาให้อนาคตใหม่หรือไม่?
นอกจากเรื่องกลุ่มแฟนคลับแม่ยกทั้งหลายที่ดูน่าจะคุ้นๆตา ก็ยังมีข้อสงสัยเรื่องแกนนำในพื้นที่ต่างจังหวัด ว่าเป็นกลุ่มคนเดียวกันหรือไม่? ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่านี่คือการปรับรูปขบวนครั้งใหญ่ของพลพรรคเสื้อแดงเพื่อความคล่องตัวในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองหรือไม่? นอกจากนี้ขณะที่ กกต. กำลังพิจารณาว่า การที่อดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์บีบีซี จะเข้าข่ายการชี้นำพรรคเพื่อไทย และเป็นผลให้พรรคเพื่อไทยถูกยุบหรือไม่? กลับไม่ได้มีการตอบโต้ใดจากคนในพรรค? นอกจากนั้นแล้วการลงพื้นที่ของอนาคตใหม่ในต่างจังหวัดก็เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในพื้นที่เหนือและอีสานที่เป็นพื้นที่ฐานเสียงเพื่อไทยเดิม แต่กลับไม่มีเจ้าถิ่นออกมาขัดขวางเลยแม้แต่น้อย แถมผู้เข้าร่วมก็เป็นอดีตแกนนำเสื้อแดงด้วยใช่หรือไม่? ซึ่งเรื่องนี้ก็เริ่มมีคนคิดว่าพรรคแม่ลูกมีความเป็นไปได้สูงขึ้นหรือไม่? สุดท้ายอาจจะเป็นหนังวัวที่ห่อหุ้มเสือทั้งตัวหรือเปล่า? มุมของประชาธิปัตย์เองที่ได้ผลกระทบโดยมี สส. บางส่วนที่แตกแถวออกไปซบอกทหารบ้าง ซบลุงสุเทพบ้าง แต่เมื่อตั้งพรรค รปช. กลับพบว่าก็ไม่ได้เทครัว สส. ปชป. อย่างที่ประเมินไว้ตอนแรก
ในขณะที่เรื่องวันเลือกตั้งก็กำลังถูกเร่งรัด การปลดล็อกพรรคการเมืองก็เป็นเรื่องที่พรรคต่างๆ ก็เร่งเร้าให้มีการปลดล็อกเสียทีซึ่งเรื่องนี้เริ่มชัดเจนขึ้นแล้วเมื่อรองนายก ได้ประกาศช่วงของการปลดล็อกพรรคการเมือง ว่าหากไม่มีอะไรมาเป็นประเด็นแทรก ก็จะปลดล็อกพรรคการเมืองในช่วงกันยายน ถึงธันวาคมนี้
อย่างไรก็ตามในมุมมองของพรรคการเมืองก็ยังกังวลถึงเรื่องการทำไพรมารีที่อาจไม่ทันการได้ บวกกับประเด็นความเท่าเทียมกันระหว่างพรรคเก่าและพรรคใหม่ ที่ตอนนี้ดูเหมือนพรรคใหม่ใต้เงา คสช. ก็กำลังฟูมฟักขุมกำลังอย่างเต็มที่ แม้จะแอบทำเงียบๆ แต่ก็มีข่าวมาตลอดว่า มีรายชื่อที่ออกมาว่ามีใครที่พร้อมย้ายค่ายย้ายสังกัด ประกอบกับการเริ่มโครงการที่เน้นสร้างคะแนนเสียงคะแนนนิยมในหลายรูปแบบ ทั้งการประชาสัมพันธ์ถึงผลงาน ตลอดจนถึงนโยบายต่างๆ ที่กำลังขับเคลื่อนลงไปสู่ระดับชุมชน เพื่อการสร้างความนิยมโดยตรงไม่ต่างกับในยุคระบอบทักษิณ รวมถึงการเดินสายไปต่างประเทศเพื่อเพิ่มความมั่นใจในระดับประเทศ แกนนำผู้อยู่เบื้องหลังพรรคใหม่ มีรายชื่อของนายกฯ เศรษฐกิจทั้งสมัยปัจจุบัน และสมัยรัฐบาลระบอบทักษิณ ขณะนี้หลายๆเ รื่องทางการเมืองเริ่มชัดเจน ก็อยู่ที่รัฐบาล คสช. จะให้การเมืองประเทศชาติเดินไปทางไหนต่อ การสร้างประชาธิปไตยไม่ได้สร้างทั้งหมดภายในวาระของ คสช. แต่หากหวังดีกับประเทศชาติ หวังดีกับประชาชนจริงๆ ก็ควรให้มีพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น ได้ร่วมกันออกแบบประชาธิปไตยของทุกคน 86 ปีประชาธิปไตยไทย ก็เป็นบทเรียนที่ดีว่าการพัฒนาประชาธิปไตยไม่ได้เป็นเรื่องของวันสองวัน หรือคนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องใช้เวลาและความเข้าใจ .....
“คนที่บอกว่าไม่กลัว ในใจมักหวาดกลัวผู้อื่น”
คำคมโกวเล้งจากเรื่อง สองนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี