พอบทความเรื่องการเมืองกับการสร้างชาติ (การเมืองน้ำเน่า) ได้รับการตีพิมพ์ในแนวหน้าฉบับวันอาทิตย์ที่แล้ว (22 กรกฎาคม 2561) ก็มีคนมาบ่นให้ฟังว่า แล้วในอดีตประเทศไทยไม่มีนักการเมืองดีๆ กันบ้างหรืออย่างไร เพราะเห็นมีแต่ “การเมืองน้ำเน่า” บ้าง, “เผด็จการรัฐสภา” บ้าง, “ธุรกิจการเมือง” บ้าง อันแล้วแต่นำมาซึ่งการโกงกินบ้านเมือง (คอร์รัปชั่น) เป็นการถ่วงความเจริญของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง แล้วประเทศเราเติบโตมาได้อย่างไรจนปัจจุบัน ถึงจะยังไม่เป็นอารยประเทศ และรายได้เฉลี่ยของประชาชนพ้นกับดักความยากจนไปแล้ว แต่ก็เจริญพอสมควรทีเดียวแหละ
ผมก็จะขอตอบเลยว่า เราก็เคยมีนักการเมืองดีๆ มาหลายคน ในประชาธิปไตยระบอบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) ที่เราเลือกใช้มาแต่ต้น ผมจะขอเล่าให้ท่านฟัง สัก 3-4 คน ที่ท่านล่วงลับไปแล้ว ได้แก่ คุณควง อภัยวงศ์, หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ เป็นต้น ซึ่งทุกท่านได้สิ้นชีวิตไปนานแล้ว ผู้คนที่จะไปเลือกตั้ง
คราวหน้า ไม่ต่ำกว่า 50% คงเกิดไม่ทันท่าน และไม่รู้ว่า นักการเมืองดีๆ ก็มีเหมือนกัน
แต่ประชาธิปไตยระบอบรัฐสภาของเรา เอื้ออำนวยให้มีช่องว่างในการโกงกินบ้านเมืองมาก นักการเมืองดีๆ ที่กล่าวนามมาแล้ว ซึ่งมิได้เล่นการเมืองแบบ “ธุรกิจการเมือง” หรือแบบ “การเมืองน้ำเน่า” จึงไม่ค่อยได้มีโอกาสอยู่ในตำแหน่งนานพอที่จะสร้างชาติไทย หรือทำให้ประเทศไทยเจริญเท่าเทียมอารยประเทศได้
ในฐานะที่ผู้เขียนเอง เติบโตมาในสมัยที่ท่านทั้งสามยังมีชีวิตอยู่ จึงน่าจะอยู่ในฐานะที่จะเอามาเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบได้
คุณควง อภัยวงศ์
อดีตเป็นนักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ และโรงเรียนอัสสัมชัญ และเป็นนักเรียนฝรั่งเศส รุ่นเดียวกับคณะปฏิวัติ พ.ศ.2475 อันได้แก่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม, นายปรีดี พนมยงค์ จึงเป็นสมาชิกคณะราษฎรสหพลเรือนมาตั้งแต่ต้น กลับจากฝรั่งเศสก็มารับราชการเป็นนายช่างกองช่างโทรเลข จนได้เป็นอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนแรก
เคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของพลเอกพระยาพหลพยุหเสนา 2 ครั้ง และเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม อยู่หลายครั้ง
ต่อมาในปี พ.ศ.2487 (หรือ ค.ศ.1944) เกิดวิกฤติทางการเมือง จอมพล ป.พิบูลสงคราม ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สภาฯ จึงได้เลือกนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี คณะที่ 11 และได้ประกาศสันติภาพกับฝ่ายพันธมิตร ในวันที่ 16 สิงหาคม 2488 (ค.ศ.1945) หลังจากญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามแล้ว 2 วัน และระบุให้การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกา และอังกฤษเป็นโมฆะ จากนั้น ก็ลาออกจากตำแหน่ง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลก และมีนายทวี บุณยเกตุ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่เพียงเดือนเศษ ก่อนที่ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน หัวหน้าเสรีไทยสายสหรัฐอเมริกา จะเข้ามารับหน้าที่นายกรัฐมนตรีแทนเมื่อ 17 กันยายน 2488
รวมแล้ว นายควง อภัยวงศ์ ก็ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีอยู่ได้ เพียง 1 ปี 30 วัน แต่ก็ได้ปฏิบัติหน้าที่รักษาอิสรภาพของประเทศไทยไว้จากสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีการกินบ้านกินเมืองเหมือนสภาพที่คนไทยปัจจุบันเห็นอยู่
นายควง อภัยวงศ์ ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2489 โดยสภาชุดใหม่ แต่ก็อยู่ในตำแหน่งได้ เพียง 2 เดือน ก็ลาออก เพราะแพ้เสียงในสภาในการโหวตรับรองกฎหมายฉบับหนึ่ง นายปรีดี พนมยงค์ จึงได้รับการสนับสนุนจากสภา ให้ดำรงตำแหน่งแทน
จากนั้น นายควง อภัยวงศ์ ก็ได้ร่วมกับ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และนักการเมืองกลุ่มหนึ่ง ตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2489 และกลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเป็นครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 ถึง 21 กุมภาพันธ์ 2491 เพื่อจัดการเลือกตั้งสภาชุดใหม่ หลังการรัฐประหารโดย พลโทผิน ชุณหะวัณ ซึ่งยึดอำนาจจากรัฐบาลของ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
ต่อมานายควง อภัยวงศ์ กลับเข้าเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 4 เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ได้รับการเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมาก เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2491 แต่บริหารประเทศอยู่เพียงไม่ถึงสองเดือน ก็ต้องถูก ปฏิวัติเงียบ โดยคณะทหาร (ในสมัยนั้นเรียก ถูกจี้) จึงต้องพ้นหน้าที่ไปเมื่อ 8 เมษายน 2491 และมีจอมพล ป.พิบูลสงคราม กลับเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อีกครั้งหนึ่ง นายควง อภัยวงศ์ จึงต้องมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภาอย่างแข็งขัน ทั้งสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร
-----------------
จึงนับได้ว่า นายควง อภัยวงศ์ เป็นนักประชาธิปไตยที่ควรยกย่องยิ่ง เป็น “น้ำดี” ของการเมืองในประเทศไทย ซึ่งนักการเมืองในปัจจุบันควรเอาเยี่ยงอย่าง ประกอบด้วยคุณสมบัติที่เหมาะสมแก่การสร้างชาติ ได้แก่
1.เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่โกงกิน มีจริยธรรมอันสูง มีอุดมการณ์เพื่อสร้างชาติ จึงนับเป็น “คนดี” ที่ควรเอาเยี่ยงอย่างได้ ไม่ร่ำรวยเพราะการเมือง ไม่ใช้การเมืองเป็นธุรกิจหาเงินเข้าตัวเอง และเข้าพรรค
2.เป็นคนที่เก่ง มีความรู้สูง สำเร็จปริญญาทางวิศวกรรมศาสตร์จากสถาบันมีชื่อเสียงของประเทศฝรั่งเศส รับราชการจนได้เป็นอธิบดดีกรมไปรษณีย์โทรเลข มีความสามารถเจรจาเคียงบ่าเคียงไหล่ กับชาวต่างประเทศได้อย่างไม่เสียเปรียบ และรักษาประเทศไทยมิให้ตกเป็นผู้แพ้สงคราม โดยการระบุให้การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกา และอังกฤษเป็นโมฆะ
3.เป็นผู้ที่รักประเทศชาติ และเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมือง ไม่ยอมต่อสู้ต่อการบีบบังคับของผู้มีกำลัง ซึ่งจะทำให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันในบ้านเมืองได้ จึงเป็นผู้เสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนไทย มากกว่าประโยชน์ส่วนตน และของพรรค
จึงเป็นที่น่าประหลาดใจว่า ยังไม่มีอนุสาวรีย์ หรือชื่อถนนสาธารณะ ให้เป็นอนุสรณ์แด่นักการเมืองท่านนี้เลย ทั้งๆ ที่อนุสาวรีย์จอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็มีอยู่บ้างในค่ายทหาร หรือถนนพหลโยธิน ถนนปรีดี พนมยงค์ ถนนประดิษฐ์มนูธรรม ก็มีอยู่แล้ว
ปัจจุบันเราจะหานักการเมืองเช่นนี้ได้ยากมาก เพราะการเมืองน้ำเน่า ธุรกิจการเมือง และการคอร์รัปชั่นดำเนินไปอย่างรุนแรง การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และพรรคพวก มากกว่าประโยชน์ของคนไทย และชาติไทย เข้ามาแทรกอยู่ใน
สายเลือดของนักการเมืองจำนวนมากแล้ว สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นเครื่องบั่นทอนความก้าวหน้า และการสร้างชาติไทย มิให้ก้าวไปสู่ความเป็นอารยะได้
ศิริภูมิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี