“ไฟฟ้า” เป็นพลังงานที่ดูจะขาดไม่ได้แล้วสำหรับสมัยนี้ เพราะทุกกิจกรรมของ “มนุษย์ยุคดิจิทัล” ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงเข้านอนล้วนเกี่ยวข้องกับการใช้ไฟฟ้าไม่มากก็น้อย ดังข้อมูล “ความต้องการไฟฟ้าของระบบ” โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระบุว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 28,578.40 เมกะวัตต์ (MW) สูงกว่าเมื่อ 2 ทศวรรษก่อน คือปี 2540 ซึ่งในปีนั้นมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 14,506.30 MW ขณะที่กำลังการผลิตในปี 2560 นั้นอยู่ที่ 42,433.25 MW
นั่นคือความต้องการใช้ไฟฟ้าและกำลังที่ผลิตได้ ณ วันนี้ ที่ดูจะยังไม่มีปัญหาอะไร แต่ในอนาคตนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังข้อมูลที่รศ.ดร.กุลยศ อุดมวงศ์เสรี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวบรวมมาเปิดเผยในงานเสวนา “เขื่อนแตก เรื่องของลาวกับเรื่องของเรา” ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า “ไทยจะมีไฟฟ้าใช้อย่างมั่นคงไปจนถึงปี 2568” จากนั้นก็จะเริ่มเสี่ยงหากไม่มีการหาแหล่งผลิตไฟฟ้ามาเพิ่ม ฉะนั้นในอนาคตก็ต้องมีโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ๆ แต่จะเป็นโรงไฟฟ้าแบบใดนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ปัจจุบันกระทรวงพลังงานยังอยู่ในระหว่างปรับแผนการพัฒนากำลังไฟฟ้าของประเทศ จะเอาโรงไฟฟ้าแบบไหนเข้ามา การจะเข้ามาต้องคำนึงถึงหลายอย่างทั้งต้นทุนไฟฟ้า การกระจายเชื้อเพลิง แล้วก็เรื่องความมั่นคง จากแผนล่าสุดปี 2558 ณ ตอนนั้นเรามีสัญญาโรงไฟฟ้าถึงปี 2567 หลังจากนั้นเราก็จะมีการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นโรงไฟฟ้าจากลาว แต่ยังไม่ได้เซ็นสัญญากันไว้” ดร.กุลยศ กล่าว
แต่ประเด็นการสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในประเทศไทยนั้นยังเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะ “โรงไฟฟ้าถ่านหิน” ที่หลายแห่งถูกกำหนดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ เช่น จ.กระบี่ หรือที่ อ.เทพา จ.สงขลา ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าถูกต่อต้านอย่างหนักด้วยความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม จนอาจเป็นสาเหตุให้ต้องปรับแผนพลังงานของประเทศด้วยโจทย์ที่ว่าหากไม่สามารถสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินได้แล้วจะไปใช้เชื้อเพลิงแบบใด?
ผอ.สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ กล่าวต่อไปว่า หากยึดแผนพลังงานฉบับปี 2558 จะพบว่าในปี 2579 ไทยจะมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำที่ร้อยละ 15 แต่เป็นการผลิตที่มาจาก สปป.ลาว ซึ่งเหตุที่ไทยเลือกซื้อไฟฟ้าจากลาว เพราะรัฐไทยต้องการกระจายสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า ที่ปัจจุบันส่วนใหญ่หรือราวร้อยละ 60 ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ จึงไม่อยากให้พึ่งพาเชื้อเพลิงแบบเดียวมากเกินไป และราคาที่ไทยซื้อจากลาวค่อนข้างถูก เฉลี่ยเพียง 2.41 บาทต่อหน่วยเท่านั้น ถูกกว่าต้นทุนการใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งอยู่ที่ 3.09 บาทต่อหน่วย
“ที่เราบอกว่ากำลังไฟฟ้าสำรองที่มี ซึ่งปัจจุบันบอกว่าต้องมีมากกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ ที่มีกระแสข่าวว่าเรามีเยอะเกินก็เยอะจริง อย่างปี 2561 ก็มีอยู่ 33 เปอร์เซ็นต์ การที่เรามีกำลังไฟฟ้าสำรองอยู่ที่สามสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ทำให้จนถึงปี 2570 โอกาสที่จะเกิดไฟฟ้าดับจากระบบผลิตของเราเป็นศูนย์ คือมันมีพอแน่ๆ แต่หลังปี 2570 เป็นต้นไปโอกาสเกิดไฟฟ้าดับมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็จะสวนทางกับกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองที่ลดลง
แล้วมันจะไปหนักที่ปี 2577 ที่มีกำลังไฟฟ้าสำรองที่ 15.43 เปอร์เซ็นต์ ณ ตอนนั้น โอกาสเกิดไฟฟ้าดับอยู่ที่ 1.41 วัน หรือเกือบๆ 30 ชั่วโมงต่อปี อาจจะไม่ได้เกิดทีเดียว 30 ชั่วโมง อาจจะเกิดวันละ 10 นาที แต่รวมๆ กันแล้วคาดว่าจะเกิดรวมๆ กันที่ 1.41 วันต่อปี ตรงนี้คือถ้าเรายอมรับความเสี่ยงให้มีโอกาสเกิดไฟฟ้าดับมากขึ้น เราก็มีไฟฟ้าสำรองน้อยลงได้ เหมือนกับค่าใช้จ่ายลดลง ขึ้นอยู่กับว่าในการทำแผนเราจะบริหารจัดการอย่างไร?” ดร.กุลยศ ระบุ
ดร.กุลยศ ยังกล่าวถึงเหตุเขื่อนแตกที่ สปป.ลาว เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ด้วยความที่สัดส่วนการนำเข้าไฟฟ้าจาก สปป.ลาว มีไม่สูงนัก และยังมีกำลังสำรองอยู่มาก ผลกระทบด้านความมั่นคงพลังงานต่อไทยจึงมีน้อยมาก แต่อาจมีผลกระทบเรื่องต้นทุนค่าไฟฟ้าสูงขึ้นบ้าง เพราะโครงการโรงไฟฟ้าที่ราคาถูกต้องชะลอออกไป จำเป็นต้องใช้ที่แพงกว่า ส่วนลาวจะละทิ้งเป้าหมายที่ต้องการเป็น “แบตเตอรี่ของเอเชีย” หรือไม่นั้น? ข้อมูลในปี 2560 พบว่าลาวขายไฟฟ้าให้ไทยชาติเดียวได้เงินไปถึง 4 หมื่นล้านบาท ยังไม่นับที่ขายให้เวียดนามซึ่งไม่มีข้อมูล ก็น่าจะพอคาดเดาได้
“ที่นี่แนวหน้า” เห็นตัวเลขคำนวณความมั่นคงทางพลังงานแบบนี้ พร้อมๆ กับข่าวการต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ไม่ใช่เพียงถ่านหินแต่ยังรวมถึงเชื้อเพลิงอีกหลายชนิด เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวลจากขยะ หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ด้วยข้อกังวลกับสิ่งแวดล้อมและวิถีชุมชนไม่ว่าที่ใดของประเทศ ก็ขอเอาใจช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ข้อสรุปในการปรับแผนพลังงานของชาติที่เหมาะสม “ลดความเสี่ยงไฟฟ้าดับให้เหลือน้อยที่สุด” เพราะเชื่อเหลือเกินว่ามนุษย์เรานั้น “มาไกล” เกินกว่าจะกลับไปอยู่อย่างไม่มีไฟฟ้าใช้ได้อีกแล้ว
ไม่เชื่อดูเอาเถิด..ขนาดการไฟฟ้าฯ ประกาศล่วงหน้าว่าจะขอหยุดจ่ายไฟเพื่อซ่อมบำรุงระบบ ยังทำให้คนยุคนี้ที่มักจะอาศัยอยู่ในเมืองรู้สึกลำบากกัน ต้องโยกย้ายไปหลบในพื้นที่ที่มีไฟฟ้าใช้กันเลยทีเดียว!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี