เวเนซุเอลากำลังเผชิญวิกฤติเงินเฟ้อขั้นรุนแรงมาก จนประชาชนอดอยากแทบไม่มีเงินซื้ออาหาร ขาดยาและเครื่องมือแพทย์ในการรักษาพยาบาล ประชาชนจำนวนมากอพยพไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
เวเนซุเอลามีน้ำมันอยู่มหาศาล ปริมาณน้ำมันสำรองเป็นอันดับหนึ่งของโลก ถึงกับเป็น ผู้ก่อตั้งกลุ่มโอเปก แต่ภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นได้ ทั้งๆ ที่ประเทศนี้น่าจะเป็นประเทศที่ร่ำรวย
สาเหตุหลักคือนโยบายของอดีตผู้นำ คือ ประธานาธิบดี ฮูโกซาเวซ นั้น เป็นนโยบายประชานิยม มุ่งเอาใจประชาชนที่ยากจนในหลายๆ ด้าน มาเป็นเวลายาวนานตั้งแต่ 15 ปีก่อน เพื่อหวังคะแนนเสียง และผู้นำคนต่อมาคือประธานาธิบดี นิโกลัส มาดูโร ยังคงรักษานโยบายประชานิยมไว้เช่นเดิม เช่น การแทรกแซงกลไกตลาด บิดเบือนราคาสินค้า
รัฐบาลอุดหนุนราคาสินค้าทุกประเภทให้ต่ำกว่าความเป็นจริงเช่น อาหาร ชาวเวเนซุเอลามีสิทธิใช้น้ำมันฟรี บางครั้งชาวเวเนซุเอลาขับรถเพลินจนน้ำมันหมด หาปั๊มน้ำมันไม่พบ จะใช้วิธีโบกรถคันอื่นเพื่อขอแบ่งปันน้ำมัน ประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ชาวโคลอมเบียขับรถข้ามพรมแดนมาเติมน้ำมันที่เวเนซุเอลา แล้วขับข้ามกลับไปถ่ายน้ำมันออกขาย รัฐบาลให้การรักษาพยาบาลฟรี
ใช้งบประมาณซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศ มาให้ประชาชนที่ยากจน เป็นต้น จนประชาชนเสพติดประชานิยม โดยไม่คิดที่จะพัฒนาตนเอง และรัฐบาลไม่กล้าเปลี่ยนนโยบาย
เมื่อใช้เงินมาสร้างประชานิยมมากขึ้น รัฐบาลเวเนซุเอลาต้องกู้ยืมเงินจากจีน และรัสเซีย เป็นจำนวนมากเพื่อมาใช้จ่ายในโครงการประชานิยมของตนให้ดำเนินต่อไปได้ รายได้ของเวเนซุเอลานั้นมาจากการส่งออกน้ำมันเกือบทั้งหมด แต่เมื่อราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงมากทั่วโลก เพราะประเทศต่างๆ หันมาใช้พลังงานทดแทน เช่น ไฟฟ้าพลังน้ำ พลังแสงอาทิตย์ พลังลม หรือชีวมวล แทนการผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันเตา และรถยนต์รุ่นใหม่เริ่มเป็นไฮบริด ขับเคลื่อนโดยใช้ได้ทั้งพลังงานจากแบตเตอรี่และน้ำมัน ความจำเป็นที่จะต้องใช้น้ำมันจึงลดลงมาก ทำให้รายได้ของเวเนซุเอลาลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เกิดเงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้นในเวเนซุเอลา จริงๆ แล้วเงินเฟ้อในระดับอ่อนๆ เช่น 2%-3% จะเป็นประโยชน์เพราะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากเงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้นธนาคารกลาง
ของประเทศต่างๆ มักใช้เครื่องมือทางการเงินมาจัดการกับเงินเฟ้อ เช่น การออกพันธบัตร ตั๋วเงินคลังออกมาเพื่อดึงเงินจากมือประชาชนเอาออกจากระบบ เป็นการดูดซับสภาพคล่อง ให้เงินเฟ้อลดลงเข้าสู่สภาวะปกติ
แต่เมื่อเวเนซุเอลาเกิดเงินเฟ้อ สินค้าแพง รัฐบาลกลับแก้ไขปัญหาแบบประชานิยมต่อไป ด้วยการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มโดยปราศจากทองคำ หรือทุนสำรองหนุนหลัง แล้วขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อให้ประชาชนมีเงินซื้อสินค้า มีเงินใช้จ่ายในการดำรงชีวิต โดยที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมราคาสินค้าได้ เมื่อมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ราคาสินค้าจะขยับเพิ่มขึ้นไปอีก รัฐบาลจึงปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีก
ซึ่งมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อสู้กับการขึ้นราคาสินค้าอยู่หลายรอบบางครั้งค่าแรงปรับขึ้นถึง 3,000% จนผู้ประกอบการ นายจ้างจ่ายค่าแรงไม่ไหว มีคนตกงานจำนวนมาก อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเกินกว่า 20% และภาคธุรกิจของเวเนซุเอลาย่ำแย่ไปด้วย
อัตราเงินเฟ้อของเวเนซุเอลาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นเงินเฟ้อขั้นรุนแรง (Hyperinflation) ขณะนี้อัตราเงินเฟ้อทะลุ 80,000% ไปแล้ว และเป็นที่คาดว่าจะสูงเกิน 1,000,000% ภายในสิ้นปีนี้ หากประชาชนจะซื้อเนื้อวัว หรือเนื้อไก่สัก 1 กิโลกรัม ต้องใช้เงินนับ 10 ล้านโบลิวาร์ หรือกว่า 1 พันบาท กระดาษชำระม้วนหนึ่งราคากว่า 2 ล้านโบลิวาร์ หรือกว่า 300 บาท รัฐบาลได้พิมพ์ธนบัตรโดยเพิ่มจำนวนมูลค่าหน้าธนบัตรขึ้นเรื่อยๆ จนขณะนี้มีธนบัตรราคา 50 ล้านโบลิวาร์ แต่ซื้อสินค้าได้เพียงเล็กน้อย ความอดอยากจึงเกิดขึ้นไปทั่ว มีการซื้ออาหารและยากักตุนไว้ เพราะราคาจะขึ้นไปเรื่อยๆ จนซื้อไม่ไหว หรือมีเงินแต่ไม่มีสินค้าให้ซื้อ
ภาวะอภิมหาเงินเฟ้อดังกล่าวเคยเกิดขึ้นแล้วกับประเทศเยอรมนี ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีแพ้สงคราม และต้องจ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามจำนวนมาก รัฐบาลจึงพิมพ์ธนบัตรเพิ่มออกมาชำระหนี้ ทำให้เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ราคาหน้าธนบัตรขณะนั้นสูงถึง 50 ล้านมาร์ค แต่ซื้อสินค้าได้ไม่มาก อาจเพียงแค่ขนมปังชิ้นเดียว ประชาชนไปจ่ายตลาดต้องพกเงินไปเป็นตะกร้า หากวาง
ตะกร้าไว้ ตะกร้าอาจหาย แต่เงินอยู่ครบ เพราะตะกร้ามีค่ามากกว่าเงินเมื่อรับประทานอาหารในร้าน พนักงานจะแจ้งปรับราคาค่าอาหารเพิ่มขึ้นทุกครึ่งชั่วโมง
เงินเฟ้อระดับนี้เคยเกิดขึ้นในประเทศซิมบับเวเช่นกัน เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา โดยที่ซิมบับเวเป็นหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF อยู่เป็นจำนวนมหาศาล จึงแก้ปัญหาโดยการออกเงินสกุลใหม่คือ ดอลลาร์ซิมบับเวเพื่อใช้หนี้ ผลคือเกิดเงินเฟ้อ 11 ล้าน% ต้องแก้ปัญหาโดยการตัดเลขศูนย์ที่ธนบัตรออกหลายหลัก แล้วใช้สกุลเงินอิงกับดอลลาร์สหรัฐเช่นเดิม เวเนซุเอลาเองเริ่มตัดเลขศูนย์ออกจากธนบัตรเช่นกัน
ปัญหาของเวเนซุเอลาไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย เพราะน้ำมันที่มีอยู่จำนวนมากและเป็นรายได้หลักของประเทศไม่สามารถส่งออกได้ เนื่องจากรัฐวิสาหกิจที่ดูแลเรื่องน้ำมันไม่ได้บริหารโดย
มืออาชีพ แต่เป็นคนของรัฐบาลส่งเข้าไป เรือขนส่งน้ำมันเก่าทรุดโทรมไม่ผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ทำให้แล่นผ่านทะเลหลวงไม่ได้ แต่ไม่มีเงินซื้อเรือใหม่ เป็นต้น
ขณะนี้หลายๆ ประเทศที่ชาวเวเนซุเอลาอพยพเข้าไป เช่น โคลอมเบีย บราซิล ไม่อยากรับผู้อพยพแล้ว ได้มีการทำร้ายผู้อพยพ และความเป็นอยู่ของผู้อพยพนั้นลำบากมาก
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาของระบบประชานิยมว่า การเอาอกเอาใจคนยากจน โดยการให้เงินและสวัสดิการต่างๆ ฟรี จะก่อให้เกิดปัญหากับประเทศได้ เวเนซุเอลานั้นก่อนหน้านี้จะเหมือนกับประเทศอื่นที่มีน้ำมันมากคือ ก่อนค้นพบน้ำมันประเทศยังไม่เจริญ เมื่อพบน้ำมันโดยชาวตะวันตก จึงกลายเป็นประเทศร่ำรวย
นโยบายประชานิยมจะทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีในระยะสั้น แต่ในระยะยาวประชาชนจะเดือดร้อนยิ่งกว่าเก่าหลายเท่าตัวการช่วยเหลือคนยากจนที่ถูกต้องคือ การช่วยให้พวกเขามีอาชีพ ช่วยเหลือตัวเองได้ จะมีประโยชน์กว่าการให้ของฟรี หรือการบริจาค เพราะไม่มีใครให้ใครได้ตลอดทั้งชีวิต
นอกจากนี้ การช่วยเหลืออาจทำได้โดยการให้การศึกษา เพื่อคนยากจนจะได้มีการงานที่ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วยตนเองไม่ต้องรอการรับแจกของฟรีจากรัฐบาลตลอดไป
ประเทศไทยได้เคยมีนโยบายประชานิยมมาแล้ว จึงต้องถือเอาเวเนซุเอลาเป็นกรณีศึกษา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี