สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) คือ ระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครองและมีสิทธิขาดในการบริหารประเทศ ในระบอบการปกครองนี้ พระมหากษัตริย์ คือ กฎหมาย ดังนั้นที่มาของกฎหมายทั้งปวงอยู่ที่พระมหากษัตริย์ คำสั่ง ความต้องการต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ล้วนมีผลเป็นกฎหมายพระมหากษัตริย์มีอำนาจในการปกครองแผ่นดินและพลเมืองโดยอิสระ
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นวันที่กลุ่มบุคคลในนาม “คณะราษฎร” ซึ่งนำโดยพระยาพหลพลพยุหเสนา (นายพจน์ พหลโยธิน) ผู้นำฝ่ายทหาร และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) ผู้นำฝ่ายพลเรือน ได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินและเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มาสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ภายใต้รัฐธรรมนูญและปกครองโดยรัฐสภา การยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองในครั้งนั้นไม่มีการเสียเลือดเนื้อแต่อย่างใด
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ไม่ได้ทรงขัดขืน แต่ทรงให้ความร่วมมือ พระราชทานรัฐธรรมนูญ เพราะพระองค์ได้ทรงมีพระราชดำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนชาวไทยมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่กลับถูกทักท้วงโดยคณะข้าราชบริพารในสมัยนั้น ด้วยเกรงว่าประชาชนยังอยู่ในสภาวะที่ไม่พร้อม และอาจเกิดเป็นผลเสียมากกว่า
ย้อนกลับไปสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้เคยมีกลุ่มบุคคลพยายามจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเช่นกัน หลังจากที่พระองค์ท่านได้เสด็จขึ้นครองราชย์ได้เพียงปีเศษ
กลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นนายทหารและพลเรือนร่วม 90 คน ได้จัดตั้งสมาคม “อานาคิช (Anarchist)” หรือคณะ ร.ศ. 130 (พ.ศ.2455) ผู้ร่วมคณะเริ่มแรกมี 7 คน โดยมี ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์ (หมอเหล็ง ศรีจันทร์)ผู้บังคับกองพยาบาลโรงเรียนนายร้อยทหารบก เป็นหัวหน้า มีเป้าหมายหลักที่จะต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
ผู้ก่อการได้วางแผนลอบปลงพระชนม์ ในวันที่ 1 เมษายนพ.ศ.2455 ซึ่งเป็นวันพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และวันขึ้นปีใหม่ มีการจับไม้สั้นไม้ยาว ผู้ที่ต้องลอบปลงพระชนม์ คือ ร.อ.ยุทธ คงอยู่ (หลวงสินาดโยธารักษ์)ได้เกิดเกรงกลัวความผิด จึงนำความไป กราบทูลหม่อมเจ้า
พันธุ์ประวัติ ผู้บังคับการกรมทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ และนำความไปกราบทูลสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
ต่อมาผู้ก่อการทั้งหมดถูกจับกุม เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2454 และถูกส่งตัวไปคุมขังที่คุกกองมหันตโทษจนความทราบไปถึงรัชกาลที่ 6 และได้มีพระราชวินิจฉัย ให้ละเว้นโทษประหารชีวิตแก่ผู้ก่อการทั้งหมด คงไว้แต่โทษคุมขัง ทรงไม่มีจิตพยาบาทต่อผู้คิดประทุษร้ายแก่พระองค์ เพราะพระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ และทรงเข้าพระทัยในเรื่องประชาธิปไตยเป็นอย่างดี
เหตุการณ์กบฏ ร.ศ. 130 เป็นแรงผลักดันให้คณะราษฎรก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยภายหลังการยึดอำนาจแล้ว พระยาพหลพลพยุหเสนาได้เชิญผู้นำการกบฏ ร.ศ. 130ไปพบและกล่าวกับ ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์) ว่า “ถ้าไม่มีคณะคุณ ก็เห็นจะไม่มีคณะผม” และหลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้กล่าวในโอกาสเดียวกันว่า “พวกผมถือว่าการปฏิวัติครั้งนี้เป็นการกระทำต่อเนื่องจากการกระทำ เมื่อ ร.ศ. 130”
24 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ถือเป็นวันครบรอบ 88 ปีเปลี่ยนแปลงการปกครองที่นำโดยคณะราษฎร ในวันดังกล่าวพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งจัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย พล.อ.พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช และบำเพ็ญกุศลแก่ พ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม ถือเป็นครั้งแรกที่กองทัพบกจัดพิธีรำลึกถึงพระองค์เจ้าบวรเดชและพ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม ผู้นำในการพยายามทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2476 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เพื่อถวายคืนอำนาจให้พระมหากษัตริย์ กองทัพบกระบุว่า ทั้งสองเป็นผู้ที่ “ควรแก่การยกย่องในฐานะที่ทรงปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดี” และ“ยังเป็นนายทหารประชาธิปไตย”
ย้อนไปเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2562 กองทัพบกได้ตั้งชื่อห้องใหม่ 2 ห้อง ในอาคารพิพิธภัณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ว่า “บวรเดช” และ “ศรีสิทธิสงคราม”
การพยายามทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 12-16 ตุลาคมพ.ศ. 2476 รู้จักในชื่อ “กบฏบวรเดช” นำโดยนายพลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ได้ยื่นคำขาดแก่รัฐบาลคณะราษฎรให้ใช้การปกครองในรูปแบบของระบอบราชาธิปไตย ให้รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ และให้รัฐบาลมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยให้อำนาจฝ่ายรัฐสภาในการตรวจสอบมากขึ้นและจำกัดอำนาจของรัฐบาล ในสมัยนั้น กบฏบวรเดชได้ใช้กำลังทหารจากหัวเมืองทั้ง อุบลราชธานี นครราชสีมา สระบุรี อยุธยา นครสวรรค์ พิษณุโลก ปราจีนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี มีการปะทะกันที่บางเขน แต่คณะราษฎร สามารถปราบกบฏได้ พระยาศรีสิทธิสงคราม ถูกยิงเสียชีวิต ส่วนพระองค์เจ้าบวรเดช หัวหน้าคณะกบฏ และหม่อมเจ้าผจงรจิตร์ กฤดากร พระชายา เดินทางหนีไปยังประเทศกัมพูชา นายทหารระดับสูงหลายนายเสียชีวิตในสมรภูมิ มีผู้เกี่ยวข้องถูกจับกุม 600 คน ถูกส่งฟ้องศาลพิเศษกว่า 300 คน ถูกตัดสินลงโทษร่วม 250 คน ถูกปลดจากราชการร่วม 120 คน
ปฏิบัติการต่อต้านการก่อกบฏบวรเดช นำมาสู่การสร้าง“อนุสาวรีย์หลักสี่” หรือ “อนุสาวรีย์ปราบกบฏ” หรือ “อนุสาวรีย์พิทักษ์ธรรมนูญ” ซึ่งรัฐบาลในสมัยนั้น ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ปราบกบฏบวรเดช ต่อมา27 ธันวาคม พ.ศ. 2561 อนุสาวรีย์ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปจากวงเวียนหลักสี่ และไม่ทราบว่าเคลื่อนย้ายไปไหน
ภารกิจของคณะราษฎร ได้สิ้นสุดไปเมื่อปีพ.ศ. 2475 มาในยุคปัจจุบัน กลับมีผู้หยิบยกเรื่องคณะราษฎร และภารกิจขึ้นมาอ้างอีกมากมาย ทั้งที่ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว แต่การแอบอ้างนั้นถือว่ามีวาระซ่อนเร้น และเป็นเรื่องการเมือง
ประชาชนที่ติดตาม ย่อมแยกแยะเรื่อง และความเป็นมาได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี