nn ช่วง 2-3 ปีมานี้ ที่การค้าโลกค่อนข้างชะลอตัวจากเศรษฐกิจที่ซบเซา รวมทั้งผลจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน หลายประเทศหันไปใช้นโยบายสนับสนุนและปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศตัวเองเป็นหลักโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ซึ่งสินค้าหลักๆ ที่ได้รับการปกป้องชัดเจนคือ เหล็ก และสินค้ากลุ่มโลหะอื่นๆ และในช่วงที่การระบาดของโควิด-19 ที่กระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหนักหน่วง แต่ละประเทศต่างก็ใช้มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศที่เข้มข้นขึ้นไปอีก
สำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็ก นั้นประสบปัญหาการถูกทุ่มตลาดจากสินค้านำเข้ามานานหลายปี ประกอบการต้องเผชิญกับภาวะความต้องการใช้ที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ด้วยจนทำให้อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศเหลือกำลังการผลิตเพียงแค่ 30% เท่านั้น เพราะโดนสินค้านำเข้าแย่งตลาดไปมากกว่า 60% จึงได้
พยายามเรียกร้องกับรัฐบาลมาตลอด ให้บังคับใช้มาตรการป้องกันการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) และมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) ที่เข้มข้นและฉับไวมากกว่านี้ เหมือนกันประเทศอื่นทั่วโลกบังคับใช้กัน แต่ว่าในยุคของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยุคก่อนหน้านี้ ผลที่เกิดก็ดูเหมือนจะตรงกันข้าม สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ยกเลิกการบังคับใช้มาตรการ เซฟการ์ด สำหรับเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนและไม่เป็นม้วน...การเปิดให้โรงเหล็กเส้นแบบเตาอินดรัคชั่น เฟอร์เน็จ ซึ่งถูกประเทศจีนสั่งปิดโรงงานเข้ามาตั้งกิจการในประเทศไทย จากจีน...การไม่ประกาศการไต่สวนการทุ่มตลาดของเหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อน (GI) ฯลฯ และผลที่เกิดขึ้นณ ตอนนี้คือ ปริมาณการใช้เหล็กในประเทศ 19.3 ล้านตันเป็นสินค้าเหล็กนำเข้าถึง 12 ล้านตัน เหลือการใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศเพียง 7.3 ล้านตันเท่านั้น
อย่างก็ไรตาม มาถึงในยุคของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนปัจจุบัน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เหมือนว่าอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศจะเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้างแล้ว...ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2563 กระทรวงพาณิชย์ โดย คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานได้ออกประกาศ คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เรื่อง “การตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อนชนิดม้วนและไม่เป็นม้วน ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2563” โดยตามประกาศนี้ ให้กรมศุลกากรเรียกหลักประกันอากรเป็นหนังสือค้ำประกันจากธนาคารพาณิชย์ ที่ดำเนินกิจการหรือมีสาขาดำเนินกิจการในประเทศไทย สำหรับการนำเข้าสินค้าดังกล่าว จำนวน 28 พิกัด ที่มีแหล่งกำเนิดจากจีน ในอัตราร้อยละ 35.67 ของราคา CIF
จากกรณีนี้มีหลายประเด็นที่ “โลกการค้า”อยากหยิบเอามาพูดถึง... เพราะกรณีนี้เกิดขึ้นโดย บริษัท โพสโค โค้ทเต้ด สตีล (ประเทศไทย) (ซึ่งก็คือบริษัทเหล็กจากเกาหลีใต้) ได้ยื่นหนังสือต่อ
กรมการค้าต่างประเทศ ให้พิจารณาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด ตามมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.ตอบโต้การทุ่มตลาด ซึ่งเป็นช่วงที่อยู่ระหว่างการเปิดการไต่สวนการทุ่มตลาด เหล็ก GI จากจีน...ซึ่งนี่ก็แปลว่า คณะกรรมการพิจารณามาตรการตอบโต้ ได้ประกาศใช้มาตรการชั่วคราวไปก่อน เนื่องจากประกาศฉบับนี้ให้มีผลบังคับใช้ (3 สิงหาคม 2563)ไปจนกว่าจะมีการประกาศผลการไต่สวนเบื้องต้นหรือผลการไต่สวนขั้นที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้วก็จะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี (ถ้าว่ากันตามกำหนดเวลาแบบเดิม เริ่มประกาศการไต่สวน 11 ก.พ. 2563 การประกาศใช้มาตรการก็ควรออกมา 11 ก.พ. 2564หรือนานกว่านั้น)
แต่ก็เอาเถอะถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ขนาดว่าบริษัทเหล็กต่างชาติร้องขอมา กระทรวงพาณิชย์ ยังกล้าทำในสิ่งที่ที่ไม่เคยทำมาก่อน...ก็ยังมีเหล็กของไทยอีกหลายชนิดรอความหวังจากภาครัฐให้รีบออกมาปกป้องเช่นนี้บ้าง เช่น กรณีของเหล็กลวด (Wire Rood) ซึ่งเป็นสินค้าพื้นฐานสำคัญในอุตสาหกรรมก่อสร้างเกือบทุกชนิด ขณะนี้สินค้าที่ผลิตในประเทศกำลังจะมีอันล้มหายตายจากไป เพราะถูกสินค้าจีนเข้ามาทุ่มตลาดอย่างหนัก อันเนื่องมาจากประเทศจีนได้ปรับเพิ่มการให้เงินคืน(Rebate) จากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 13 เพื่อสนับสนุนการส่งออก ดังนั้นสินค้าที่ผลิตในประเทศไม่อาจจะสามารถแข่งขันได้เลย ดังนั้น สมาคมการค้าเหล็กลวดไทย จึงได้ร้องขอให้รัฐบาลสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ กำหนดให้เหล็กลวดเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้า ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะเรามีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว...โดยอาศัยความตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าพ.ศ.2522 มาตรา 5 ในกรณีที่จำเป็นหรือสมควรเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สาธารณประโยชน์ ความมั่นคงของประเทศ ฯลฯ ดูจากบริบททั้งหลายแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากที่รัฐบาลจะช่วยผู้ประกอบการในประเทศ สำหรับเหล็กลวด
ในกรณีอื่น เช่น เหล็กรีดร้อนเคลือบโครเมียมชนิดม้วนและไม่เป็นม้วน หรือ เหล็กรีดร้อนเคลือบดีบุกชนิดม้วนและไม่เป็นม้วน ที่กำลังเปิดการไต่การทุ่มตลาด (AD) ถ้ากระทรวงพาณิชย์ ใช้แนวทางเดียวกับ เหล็ก GI ด้วยก็จะดีไม่น้อยเหมือนกันหรือกรณีของเหล็กรีดร้อนแบบม้วนและไม่เป็นม้วนที่มีแหล่งกำเนิดจาก เวียดนาม (จีนแปลงร่าง) และอียิปต์ ที่ทะลักเข้ามาทุ่มตลาดไทยอย่างหนักหน่วงก็ควรเร่งออกมาตรการมาปกป้องผู้ผลิตในประเทศ ก็จะเป็นเรื่องดีมากเช่นกัน รวมทั้งเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยกำลังเร่งก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญมากมาย หากมีมาตรการสนับสนุนการใช้สินค้าในประเทศเป็นหลักก็จะเกิดประโยชน์เศรษฐกิจในประเทศอย่างมาก ตัวอย่างเช่น การผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตเพิ่มขึ้น 5 หมื่นล้านบาท จะก่อให้เกิดการจ้างงาน 1.5 หมื่นล้านบาท มีผลต่อการขยายตัวของ GDP ประมาณ 1.2%....โดยสรุปที่ว่าทั้งหลายทั้งปวงนี่ก็คือว่าในเมื่อรัฐบาลก็ย้ำอยู่ตลอดว่าจากนี้ไปประเทศไทยจะต้องพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่อุดหนุนและปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี