nn ด้วยเงื่อนไขที่โควิด-19 กำลังระบาดอย่างหนักในรอบ 2-3 ทั่วโลก และยังไม่มีทีท่าว่าจะลดการระบาดลงในหลายประเทศ ประกอบการความคืบหน้าของการผลิตวัคซีน ก็ยังไม่แน่ใจได้ว่าโลกนี้จะมีวัคซีนโควิด-19 ให้ชาวโลกได้ใช้ภายในปี 2564 หรือไม่ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าปี 2563 ที่ว่ากันว่าเศรษฐกิจทั่วโลกรวมทั้งไทยจะทรุดหนักที่แล้วนั้น อาจจะเป็นแค่ “ปีเผาหลอก”แต่ปีหน้า (2564) จะเป็น “ปีเผาจริง”
สำหรับประเทศไทยปัญหาตรงหน้าขณะนี้ไม่ใช่เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ เพราะเราสามารถผลิตอาหารและปัจจัยสี่สำหรับการดำรงชีวิตได้เอง...แต่สิ่งที่เป็นปัญหาหนักของประเทศไทยขณะนี้และอาจจะยืดยาวไปจนถึงปีข้างหน้าอีกหลายปีคือ...ปัญหาหนี้สินของประชาชน และปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ต้องพึ่งพากับภาคการค้าระหว่างประเทศ และธุรกิจที่เน้นลูกค้าต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม บริษัททัวร์ สายการบิน ธุรกิจที่เป็นซัพพลายเชนของภาคการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ (กลุ่มคอนโดฯ)
มีข้อมูลจากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ระบุว่า อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio: ICR) ของบริษัท 2 แสนราย ซึ่งวิเคราะห์จากงบการเงินพบว่าในปี’63 จะมีกิจการมีกำไรจากการดำเนินงานเพียงพอที่จะจ่ายภาระดอกเบี้ย ลดลงจากปี 2562และจะใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี ถึงจะกลับไปสู่ระดับเดิม นอกจากนี้ในปี 2564-2565 จะมีกิจการ 28-30% ที่มีกำไรจากการดำเนินงานไม่เพียงพอจ่ายดอกเบี้ย
แน่นอนว่าด้วยภาวะที่เศรษฐกิจโลกที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวได้ในเร็ววัน และการที่ไทยยังไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นปกติย่อมส่งผลต่อภาวะการมีงานทำของคนไทยกว่า 10 ล้านคน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ภาคครัวเรือนแน่นอน สำหรับภาคธุรกิจ นอกจากปัจจัยลบที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจ ในภาพรวมแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงภายในเข้ามาซ้ำเติมด้วย นั่นคือปัญหาความผันผวนทางการเมือง ซึ่งขณะนี้กำลังเกิดการชุมนุมของคนหลายกลุ่มที่มีความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งหากว่า การชุมนุมยืดเยื้อไม่จบเกิดการปะทะรุนแรงและเกิดการชุมนุมในทุกพื้นที่ไปทั่วและยาวนานจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นในด้านต่างๆ แน่นอน
แม้ว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะมีเม็ดเงินจาก 3 มาตรการกระตุ้นการซื้อในประเทศที่รัฐบาลคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบได้ 2 แสนล้านบาท และเม็ดเงินจากมีการเลือกตั้ง อบจ. ที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินในการหาเสียงสู่ระบบ 30,000 ล้านบาท แต่ก็ต้องบอกว่าไม่มากพอที่จะช่วยเศรษฐกิจไทยพ้นจากอัตราการขยายตัวที่ติดลบได้ ที่สำคัญเม็ดเงินส่วนนี้ก็ไม่ได้ก่อเกิดให้เกิดการจ้างงานในระยะยาว และไม่ได้ช่วยให้หลายภาคธุรกิจกลับฟื้นคืนได้เหมือนเมื่อก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ได้แน่นอน
ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นที่สุดขณะนี้คือ รัฐบาลจะจัดการปัญหาหนี้สินของ ภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ อย่างไร บางส่วนมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องการให้ช่วยเหลือปรัโครงสร้างหนี้ บางส่วนต้องการให้ยืดเวลาพักชำระหนี้ออกไปอีก บางส่วนต้องการสภาพคล่องเข้ามาต่อลมหายใจ เพื่อจะได้ไม่ต้องปลดพนักงาน
วานนี้ คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง...ได้เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูง ของกระทรวงการคลังและได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในตอนหนึ่งว่า“การดูแลปัญหาแรงงาน ในส่วนของกระทรวงการคลัง ต้องศึกษาหามาตรการเพิ่มเติมมาช่วยเติมสภาพคล่อง เพื่อให้มีค่าจ้างแรงงานต่อไป ด้วยการสนับสนุนเพิ่มเติมบางส่วน หรือการช่วยฝึกอบรม พัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อดูแลทั้งผู้ประกอบการกลุ่ม SME ผู้ประกอบการรายใหญ่ สำหรับมาตรการพักหนี้ของสถาบันการเงิน ตามนโยบาย ธปท. ซึ่งจะครบกำหนด 22 ตุลาคมนี้ ต้องรอฟังข้อสรุปของ ธปท. เพราะหากภาคเอกชนไม่มีเงินชำระหนี้จะมีปัญหาอย่างแน่นอน เบื้องต้นมีแนวทางดูแล หลังได้พักหนี้ไปแล้ว ต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้และการปรับโครงสร้างธุรกิจ
ก่อนหน้านี้ หลายภาคธุรกิจได้เข้าพบและร้องขอมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาล ทั้ง สายการบิน อสังหาริมทรัพย์ กลุ่มค้าปลีก รวมทั้งเสียงเรียกร้องจาก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ซึ่งสอดคล้องกันว่าอยากให้รัฐบาล ช่วยหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เติมสภาพคล่อง และสำคัญที่สุดคือขยายเวลามาตรการพักชำระหนี้ออกไปอีก1-2 ปี....แต่ดูจากคำให้สัมภาษณ์ของ รมว.คลังแล้ว...เรื่องใหญ่และสำคัญที่สุด (ยืดพักชำระหนี้)...น่าจะยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในเร็ววันนี้ว่ากระทรวงการคลังจะช่วยอะไรได้หรือเปล่านะ...ดังนั้นที่บอกว่าปีหน้าจะเป็นปีเผาจริงก็เพราะว่าหนี้เสียจะพุ่งสูงจนกระทบต่อระบบแบงก์ และเมื่อระบบแบงก์ซึ่งถือว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของระบบเศรษฐกิจมีปัญหา...ก็ยากที่จะมีใครเหลือรอดได้....nn
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี