กระแสข่าวที่ว่า เยาวชนถูกดำเนินคดีอาญาในคดีสำคัญที่เกี่ยวข้องทางการเมือง จนเกิดคำถามในสังคมว่า เมื่อเยาวชนกระทำความผิดอาญาที่มีโทษรุนแรง สมควรได้รับการยกเว้น หรือต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
การดำเนินคดีอาญากับเด็กหรือเยาวชน มีขั้นตอนที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ เพราะโดยทั่วไปเด็กหรือเยาวชนมีวุฒิภาวะที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนรู้ ด้านอารมณ์ พฤติกรรม ความรู้ผิดชอบชั่วดี ประสบการณ์ในการดํารงชีวิต สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุให้เด็กและเยาวชนพลาดพลั้งกระทําความผิดได้ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การดําเนินคดีที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชน
ตามพ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ “เด็ก” หมายความว่า บุคคลอายุยังไม่เกินสิบห้าปีบริบูรณ์เยาวชน หมายความว่า บุคคลอายุเกิน 15 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์
ตามพ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ การจับกุมเด็กจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่เด็กกระทำความผิดซึ่งมีหมายจับของศาล มีคำสั่งของศาล ทั้งการจับกุมเยาวชนจะทำไม่ได้หากไม่มีหมายจับ หรือคำสั่งศาล เว้นแต่เยาวชนได้กระทำความผิดซึ่งหน้า มีพฤติกรรมอันควรสงสัยว่าเยาวชนน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นแต่หากมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับได้ ต้องเป็นการจับเยาวชนที่หนีหรือจะหลบหนีระหว่างถูกปล่อยชั่วคราว
เมื่อเด็กหรือเยาวชนกระทำความผิด ตำรวจผู้จับกุมจะต้องแจ้งสิทธิและข้อหาแก่เด็กหรือเยาวชนก่อน และต้องนำส่งพนักงานสอบสวนทันที ก่อนการสอบปากคำ พนักงานสอบสวนต้องแจ้งให้ผู้ปกครองของเด็กหรือเยาวชนทราบ การสอบปากคำต้องมีสหวิชาชีพเข้าร่วมด้วยได้แก่ นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอและพนักงานอัยการ เข้าร่วมสอบปากคำด้วยในขณะเดียวกันพนักงานสอบสวนต้องแจ้งให้ผู้อำนวยการสถานพินิจที่อยู่ในเขตดังกล่าวทราบ เพื่อเตรียมการสำหรับการสืบเสาะและพินิจ รวมถึงการส่งตัวให้สถานพินิจดูแลเด็กหรือเยาวชน เพราะพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจในการควบคุมเด็กหรือเยาวชนเกิน 24 ชั่วโมง ไม่ว่าการสอบปากคำจะเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่
หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนจะต้องนำตัวเด็กหรือเยาวชนส่งศาลเยาวชนฯภายใน 24 ชั่วโมง ศาลเยาวชนฯจะรับเรื่องว่า มีเด็กหรือเยาวชนถูกจับและทำการตรวจสอบการจับกุมของพนักงานสอบสวนเด็กหรือเยาวชนที่ถูกจับ จะอยู่ในความดูแลของสถานพินิจ ทางสถานพินิจจะทำการสืบเสาะหาข้อเท็จจริงในเรื่อง อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษา การอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และฐานะของเด็กและเยาวชน รวมถึงข้อเท็จจริงของผู้ปกครองที่เด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วย ตลอดจนสภาพแวดล้อมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเด็กหรือเยาวชน ข้อมูลการสืบเสาะหาข้อเท็จจริงนี้ จะถูกทำเป็นรายงานแก่พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการและศาลภายในเวลา 30 วัน ภายหลังจากที่ได้รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนและรายงานจากสถานพินิจพนักงานอัยการจะใช้ดุลพินิจว่าจะฟ้องเป็นคดีอาญาหรือไม่เพื่อให้ศาลเยาวชนฯพิจารณาคดีต่อไป
กรณีสั่งฟ้องพนักงานอัยการต้องเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ตามระเบียบกรมอัยการว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของ พนักงานอัยการ พ.ศ.2528
กรณีสั่งไม่ฟ้องเมื่อพิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวนโดยละเอียดรอบคอบแล้ว คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง หรือการฟ้องคดีใดจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงแห่งชาติ หรือผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศ พนักงานอัยการต้องทำความเห็นสั่งไม่ฟ้องทั้งต้องเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น แล้วจึงเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ว่าราชการจังหวัด
สำหรับการดำเนินคดีในชั้นศาล ในการพิจารณาคดีอาญาที่เด็กหรือเยาวชน เป็นจำเลย ไม่ต้องดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาโดยเคร่งครัด ให้ใช้ถ้อยคำที่จำเลยสามารถเข้าใจได้ง่าย กับต้องให้โอกาสจำเลยรวมทั้งบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่จำเลยอาศัยอยู่ หรือบุคคลที่ให้การศึกษา หรือให้ทำการงาน หรือมีความเกี่ยวข้องด้วย แถลงข้อเท็จจริง ความรู้สึก และความคิดเห็น ตลอดจนระบุและซักถามพยานได้ไม่ว่าในเวลาใดๆ ในระหว่างที่มีการพิจารณาคดี
การที่จะฟ้องเด็กหรือเยาวชนต่อศาลเยาวชนฯให้ถืออายุเด็กหรือเยาวชนในวันที่การกระทำความผิดได้เกิดขึ้น แม้เด็กหรือเยาวชนขณะกระทำความผิดมีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ แต่ได้หลบหนีไปจนมีอายุเกิน 18 ปีบริบูรณ์ เช่น หลบหนีไป 10 ปี จนอายุถึง 28 ปี ต้องมาฟ้องศาลเยาวชนและครอบครัว
การดำเนินคดีต่อเด็กหรือเยาวชนไม่ว่าจะในฐานะผู้ต้องหาหรือจำเลย ต้องใช้วิธีที่เหมาะสม เพื่อเปลี่ยนแปลงให้กลับตัวเป็นคนดี โดยไม่จำเป็นต้องลงโทษเสมอไป แต่จะใช้วิธีการสำหรับเด็กหรือเยาวชนแทนการลงโทษ เพื่อคุ้มครองเด็กหรือเยาวชนไม่ให้ต้องเสียชื่อเสียง หรือถูกจำกัดเสรีภาพโดยไม่จำเป็น
ตามพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ระบุว่ารัฐมีหน้าที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ก การกระทำหรือการดำเนินการทั้งหลายต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นอันดับแรก และรัฐต้องให้ความคุ้มครองต่อสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของเด็ก
เสรีภาพในการแสดงออกหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถือเป็นองค์ประกอบหลักของประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทำให้การจับกุมเยาวชนได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสื่อต่างชาติ ที่มองว่าการแสดงออกหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ประชาชนคนไทยต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ที่มีทั้งบทลงโทษ ลดโทษ บรรเทาโทษ ละเว้นโทษ แล้วแต่กรณีกฎหมายของประเทศใดย่อมเหมาะสมกับประเทศนั้นๆจะนำไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นไม่ได้ เพราะประวัติศาสตร์ขนบธรรมเนียม ประเพณี แตกต่างกัน
ประเทศอื่นไม่ควรสอดแทรกวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายไทย โดยไม่ได้รับข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี