** เห็นข้อเขียนของนักวิชาการดัง ดร.แดน-เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาติ (NBI) และประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (IFD) ที่ออกมาสะท้อนมุมมองเรื่องของระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้า ในหัวข้อ“ต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว “ปังหรือพัง”..ที่กำลังเป็นประเด็นสุดฮอต เป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ของคนกรุงอยู่เวลานี้..ก็น่าจะมาขยายความต่อ
ดร.เกรียงศักดิ์ ได้หยิบยกข้อดี-ข้อเสียของการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆ ระหว่างรูปแบบที่รัฐดำเนินโครงการเอง กับการให้สัมปทานเอกชนลงทุน ก่อนจะสรุปว่ารูปแบบที่ดีที่สุดคือ การที่ภาครัฐควรลงทุนเอง และใช้เครื่องมือทางการเงินการคลังเพื่อคลายข้อจำกัดด้านเงินลงทุน รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินโครงการเพื่อให้ต้นทุนดำเนินงานต่ำสุด ทั้งยังได้แนะนำให้รัฐบาลควรต้องทบทวนการจะต่อขยายสัมปทานรถไฟฟ้า สายสีเขียว ที่จะสิ้นสุดสัมปทานใน 8-9 ปีข้างหน้าเสียใหม่ โดยรอให้สัมปทานสิ้นสุดลงแล้วนำมาบริหารจัดการเอง เพราะจะทำให้สามารถกำหนดนโยบายรถไฟฟ้าได้เอง มีความยืดหยุ่นในเรื่องการกำหนดอัตราค่าโดยสาร สามารถจะนำเอาดอกผลกำไรที่ได้จากการเดินรถ หรือบริการที่เกี่ยวเนื่องมาชดเชยและปรับค่าโดยสารให้ถูกลงให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย…เป็นการนำเสนอโมเดลรถไฟฟ้าประชารัฐโมเดลเดียวกับที่เครือข่ายของผู้บริโภคเรียกร้องนั่นแหล่ะ
อ่านแล้วก็ให้นึกย้อนไปถึงรถไฟฟ้า “แอร์พอร์ตเรลลิงค์” ที่น่าจะถือว่าตรงคอนเซ็ปต์ โครงการรถไฟฟ้าของรัฐตามที่ประธานสถาบันสร้างชาติกำลังกล่าวถึงเป๊ะๆ เพราะการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เจียดเอาเงินลงทุนที่เหลือจากโครงการรถไฟทางคู่ไปลงทุนเอง 35,000 ล้านบาท ก่อนจะตั้งบริษัทลูก บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ทำการบริหารจัดการเดินรถเองแบบเบ็ดเสร็จ กำหนดค่าโดยสารได้ต่ำเพราะไม่ต้องแสวงหากำไรที่ไหน เนื่องจากเป็นบริการของรัฐที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ตอบสนองความต้องการของผู้คน และเป็นบริการเสริมศักยภาพของสนามบินสุวรรณภูมิเป็นหลัก…. แล้ววันนี้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์เป็นอย่างไร ???? เท่าที่ทราบล่าสุด รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และการรถไฟฯเพิ่งจับแอร์พอร์ตลิงค์ ใส่ตะกร้าล้างน้ำ พ่วงไปกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินไปแล้ว เพราะ ร.ฟ.ท.แบกรับภาระขาดทุนไม่ไหว…
หากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ยังไม่ชัดเจนพอ ยังไม่สะท้อนสิ่งที่ประชาชนคนไทยคาดหวังได้ ไม่ต้องไปรอให้สัมปทานรถไฟฟ้า BTS สิ้นสุดลงในอีก 8-9 ปีข้างหน้าเลยท่านประธานสถาบันสร้างชาติ แค่ไปบอก “บิ๊กตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ ทั่น รมว.คมนาคม “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ให้นำเอารถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ที่ “การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย” หรือ รฟม.กำลังโม่แป้งอยู่เวลานี้มาทำได้เลย ไม่ต้องไปเปิดประมูลหาเอกชนมาร่วมลงทุนในโครงการให้มันยุ่งเป็นยุงตีกันอะไรหรอก
เพราะเปิดประมูลไปก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามีแต่ยุ่งกับยุ่ง วันดีคืนดีตัวผู้บริหาร รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกก็ลุกขึ้นมาแก้ไขเกณฑ์พิจารณาคัดเลือกกันกลางอากาศ จนทำเอาโครงการประมูลสะดุดกึกเกิดการฟ้องร้องกันวุ่นวายอย่างที่เห็น ตอนนี้ยังจ่อจะเรียกแขกให้งานเข้าเพราะไหนจะถูกพลพรรคฝ่ายค้านร้องให้ ป.ป.ช.เข้าสอบสวน แถมพ่วงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยังมาสำทับส่งสำนวนผลสอบสวนเอาผิด ผู้ว่าฯ รฟม.และกรรมการคัดเลือกอีกกว่า 1,000 หน้าไปให้ ป.ป.ช.คุ้ยต่ออีกระลอก...ล่าสุดนั้นก็ยังถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤตมิชอบมีคำสั่งให้รับคำฟ้องที่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัดหรือ BTS ฟ้องเอาผิดผู้ว่า รฟม.และกรรมการคัดเลือกกรณีรื้อเกณฑ์พิจารณาคัดเลือก และยกเลิกการประมูลโดยไม่ชอบเอาด้วยอีก
มาถึงตรงนี้ก็สู้จับมาเป็น Model ต้นแบบรถไฟฟ้าให้รัฐหรือ รฟม.โม่แป้งบริหารจัดการเดินรถเสียเองให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป อย่างที่ท่านประธานสถาบันสร้างชาติท่านว่าไว้ เพราะรถไฟฟ้าสายนี้ รัฐ/รฟม.ก็ลงทุนงาน Civil work ในส่วนโครงการสายตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) ไปแล้ว นับ 100,000 ล้านบาท เหลือแค่จัดซื้อระบบรถไฟฟ้ากับขบวนรถไฟฟ้ามาวิ่งก็จบแล้ว ส่วนสายสีส้ม ตะวันตกอีก 110,000 ล้านนั้น จะทำเป็นเฟส 2 อย่างไรก็ค่อยมาว่ากัน.....จับเอาโครงการนี้มาเป็น Model ต้นแบบซะก็สิ้นเรื่อง ให้ รฟม.บริหารจัดการเดินรถเองจะตั้งบริษัทลูกขึ้นมาดำเนินการแบบการรถไฟฯ หรือให้บริษัทรถไฟฟ้า ร.ฟ.ท.มาบริหารจัดการเดินรถให้ก็ทำได้อยู่แล้ว จะกำหนดค่าโดยสารต่ำติดดินยังไงก็ทำได้อยู่แล้ว เพราะเป็นโครงการของรัฐที่รัฐจ่ายเงินลงทุนค่าก่อสร้างไปกว่า 70-80% แล้ว จะกำหนดค่าโดยสารให้มันถูกเป็น “รถไฟฟ้า ประชารัฐ” เพื่อคนกรุงเลย 10-25 บาทก็จบแล้ว หรือจะให้ดีเก็บสัก 5-15 บาทได้ยิ่งดี..จริงไม่จริง ครับ ฯพณฯท่าน!
จริงอยู่การให้สัมปทานรถไฟฟ้าอาจไม่ทำให้ราคาค่าโดยสารต่ำกว่า เนื่องจากเอกชนย่อมมีเป้าหมายในการแสวงหากำไร แต่กระนั้นการกำหนดค่าโดยสารรถไฟฟ้า จะของ BTS หรือรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน/สายสีม่วงของ รฟม.นั้น รัฐเป็นผู้กำหนดค่าโดยสารมาแต่แรก และมีกลไกการปรับค่าโดยสารให้สอดคล้องกับเงินเฟ้อ หรือค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มขึ้น หาใช่เอกชนจะกำหนดได้เองตามอำเภอใจ.... และหากจะย้อนไปดูไส้ในโครงการเหล่านี้ ก็ล้วนมีการกำหนดทางหนีทีไล่กรณีปริมาณผู้โดยสารในอนาคตไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อย่างกรณีที่ปริมาณผู้โดยสารสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ทุกโครงการก็มักจะมีเงื่อนไขและข้อกำหนดให้เอกชนต้องแบ่งผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐเพิ่ม แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นและเป็นไปนั้นเกือบทุกโครงการต่างมีปริมาณผู้โดยสารต่ำกว่าคาดการณ์ทั้งสิ้น แต่ก็ยังไม่เห็นมีเอกชนรายใดหยุดให้บริการ
ต่างประเทศอย่างญี่ปุ่นนั้น รัฐบาลเขาอุดหนุนบริการสาธารณะอย่างรถไฟฟ้านี้ ในส่วนงานที่เป็น Civil work แบบเดียวกับที่รัฐบาลให้กับ รฟม.นั้นแหล่ะ เพื่อที่บริษัทเอกชนหรือบริษัทมหาชนที่ให้บริการสามารถจัดเก็บค่าโดยสารในราคาที่เหมาะสมหรือราคาถูกลงได้ ก่อนที่ภายหลังจะมีการแปรรูปกิจการเป็นบริษัทมหาชนจนสามารถยืนบนขาตนเองได้ไม่ต้องแบมือขอเงินอุดหนุนใดๆ จากรัฐ แต่บ้านเรานั้นไม่รู้เป็นไงหลักการนี้ ถึงได้บิดเบี้ยวไปจากที่ควรจะเป็น เพราะขนาดเป็นโครงการรถไฟฟ้าที่รัฐบาล จัดงบลงทุนค่าค่าก่อสร้างที่เป็นงาน Civil work ให้ทั้งหมดไปแล้ว บริษัทเอกชน เพียงจัดหาระบบรถไฟฟ้าและจัดซื้อขบวนรถมาวิ่งให้บริการและรับสัมปทานอันเป็นงาน Long term maintenance แต่ก็กลับจัดเก็บค่าโดยสารราวกับว่า เป็นผู้ลงทุนเองซะงั้น…เท็จจริงประการใด ท่านนายกรัฐมนตรี...ท่านประธานสถาบันการสร้างชาติ....ก็ลองถามผู้ว่า “ภัคพงศ์ ศิริกันทรมาศ” ผู้ว่าการรฟม.ดูเอาเองก็แล้วกัน!
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี