ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือที่เป็นการติดต่อสื่อสารทางด้านโทรคมนาคม ถือเป็นปัจจัยที่ 5 ที่สำคัญในชีวิตประจำวันของประชาชนโดยทั่วไป
ในประเทศไทยผู้ให้บริการทางด้านโทรศัพท์มือถือ ประกอบด้วย เอไอเอส ทรู ดีแทค และ เอ็นที (หรือ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเกิดจากการควบรวม TOT และ CAT) แต่ผู้คนส่วนใหญ่ จะนึกถึงผู้ให้บริการ 3 รายแรก ซึ่งเป็นเอกชนมากกว่า เอ็นที ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ
ข่าวการจะควบรวมกิจการ ของค่ายโทรศัพท์มือถือ ทรู และดีแทค ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เพราะส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ จึงมีผู้ที่แสดงความคิดเห็นแตกต่างกันหลายประการ
ประเด็นสำคัญที่ควรจะต้องพิจารณาคือ กสทช. หรือ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ มีอำนาจพิจารณาและอนุมัติ การควบรวมทรู-ดีแทค หรือไม่
การกำกับดูแลของ กสทช. ในประเด็นนี้ มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นประกาศของ กสทช. อยู่ 2 ฉบับ คือ
ฉบับแรก ประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549
ประกาศฉบับแรกนี้ เป็น กฎหมายที่ควบคุม การเข้าซื้อหรือถือหุ้น หรือการเข้าซื้อสินทรัพย์ของผู้รับอนุญาตรายอื่น เพื่อให้มีอำนาจในการ Take Over ครอบงำ ควบคุมกิจการของผู้รับอนุญาตรายอื่น ส่งผลให้ กสทช. จึงต้องมีอำนาจในการอนุญาตรวมถึงกำหนดมาตรการเฉพาะ เพราะเป็นกรณีที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการแข่งขันในกิจการโทรคมมนาคมซึ่งเป็นกรณีที่เรียกว่า Share หรือ Asset Acquisition
ฉบับที่สอง ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561
ประกาศฉบับที่สองนี้ เป็นกฎหมายที่ควบคุมในกรณีที่ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าไปมีอำนาจ Take Over หรือควบคุมในผู้รับใบอนุญาตอีกฝ่าย แต่เป็นการควบรวมกันและเกิดเป็นบริษัทใหม่ (A+B = C) ซึ่งส่งผลที่แตกต่างกันต่อการแข่งขัน เป็นกรณีที่เรียกว่า Amalgamation กฎหมายจึงไม่ได้กำหนดให้ กสทช. มีอำนาจอนุญาตหรือไม่อนุญาต แต่ยังคงมีอำนาจในการกำหนดมาตรการเฉพาะเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการควบรวม TOT และ CAT เป็น NT เป็นไปตามประกาศฉบับที่สองนี้ ที่เป็นการรวมธุรกิจระหว่างผู้รับใบอนุญาตหรือองค์กรของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ เพื่อประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจหรือความมั่นคงของประเทศ หรือเพื่อส่งเสริมให้มีการลงทุนและสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ให้ผู้รับใบอนุญาตรายงานต่อเลขาธิการ กสทช. ภายใน 7 วัน หลังการดำเนินการ
ในประเด็นการควบรวม ทรู-ดีแทค ดังกล่าวนี้ ได้มีรายงานการศึกษาวิจัยทางวิชาการ ที่สำคัญและน่าเชื่อถือของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ ที่ กสทช. ได้มอบหมายให้ ทำการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ โดยเป็นการร่วมงาน วิเคราะห์โดยคณะอาจารย์ ทางด้านนิติศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์เศรษฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ซึ่งได้ทำการศึกษาวิจัยในหลายด้าน
สำหรับประเด็นทางด้านกฎหมาย รายงานวิจัย ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึง ในประเด็นที่สำคัญโดยสรุปว่า ในปัจจุบัน (มิถุนายน 2565) คณะกรรมการ กสทช. ยังไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการอนุญาตให้เกิดการรวมธุรกิจได้ แต่ประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561 กำหนดให้ใช้มาตรการเฉพาะสำหรับผู้มีอำนาจเหนือตลาดอย่างมีนัยสำคัญในตลาดโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้อง มาบังคับใช้เพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ
ความเห็นทางวิชาการดังกล่าว จึงสรุปเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายได้ว่ากสทช. ไม่มีอำนาจอนุญาตหรือไม่อนุญาตการควบรวม ทรู-ดีแทคแต่มีอำนาจในการกำหนดมาตรการเฉพาะเพื่อควบคุมได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับคดีปกครอง ศาลปกครองกลางคดีหมายเลขดำที่ 775/2565 ระหว่าง นายณภัทร วินิจฉัยกุล ผู้ฟ้องคดี กสทช. ผู้ถูกฟ้องคดี บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ทรู ผู้ร้องสอดที่ 1 บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ผู้ร้องสอดที่ 2
คดีปกครองนี้ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง กสทช. ผู้ถูกฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561 (ประกาศลงวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2560) และยังขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามประกาศนี้ ก่อนการพิพากษา (หมายถึง ขอให้ศาลสั่งให้ยกเว้นการใช้ประกาศนี้เป็นการชั่วคราว ก่อนศาลมีคำพิพากษา)
ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่ง ยกคำขอทุเลาการบังคับตามประกาศ กสทช. (ไม่อนุญาตให้ยกเว้นการใช้ประกาศนี้เป็นการชั่วคราว ก่อนศาลมีคำพิพากษา)
ศาลปกครองกลางยังได้กล่าวไว้ในคำสั่งอีกว่า “กรณีที่เมื่อผู้ร้องสอดทั้งสอง (ทรู และ ดีแทค) จะร่วมธุรกิจกันจะต้องมีการเข้าซื้อหุ้นหรือถือหุ้นหรือเข้าซื้อสินทรัพย์ของผู้ร้องสอดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผู้ร้องสอดทั้งสองยังคงต้องได้รับอนุญาตจากผู้ถูกฟ้อง (กสทช.) อยู่นั้นเอง
และหากผู้ถูกฟ้อง (กสทช.) พิจารณาเห็นว่า การรวมธุรกิจดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดการผูกขาด หรือลด หรือจำกัดในการให้บริการโทรคมนาคม ผู้ถูกฟ้องคดีก็มีอำนาจสั่งห้ามการรวมธุรกิจได้”
ด้วยความเคารพในคำสั่งของศาลปกครองกลาง ข้อความดังกล่าวไม่ถือเป็น คำสั่งโดยตรงที่เกี่ยวกับคำสั่งยกคำขอทุเลา การบังคับตามประกาศ กสทช. แต่ถือเป็นข้อความที่เป็น การแสดงความคิดเห็น หรือเป็นคำสอน ซึ่งตรงกับภาษาละตินว่า Dictum ที่แม้ไม่ใช่คำสั่งหรือคำพิพากษาโดยตรง แต่อาจเป็นประโยชน์ทางวิชาการ ซึ่งมักจะมีในคำสั่งหรือคำพิพากษาศาลต่างประเทศแต่ไม่ค่อยมีในคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม Dictum ของศาลปกครองกลางนี้ ยังมีความคลาดเคลื่อนตรงประเด็นที่ ศาลปกครองกลางเข้าใจว่า การควบรวมกิจการ ทรู-ดีแทค จะเป็นการเข้าซื้อหุ้นหรือถือหุ้นหรือเข้าซื้อสินทรัพย์ ซึ่งเป็น Share/ Asset Acquisition ตามประกาศ พ.ศ. 2549 ซึ่ง กสทช. มีอำนาจอนุญาต แต่การควบรวม ทรู-ดีแทค นี้ จะเป็น Amalgamation คือ สองบริษัทรวมกันเกิดเป็นบริษัทใหม่ (A+B = C) ไม่ได้เข้าซื้อหุ้นหรือไม่ได้ถือหุ้นหรือไม่ได้เข้าซื้อสินทรัพย์กัน ตามประกาศ พ.ศ. 2561 ซึ่ง กสทช. ไม่มีอำนาจอนุญาต มีแต่เพียงอำนาจกำหนดมาตรการเฉพาะเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ไม่ว่าประเด็นทางกฎหมายจะเป็นอย่างไร การควบรวมกิจการทางโทรคมนาคม จะเกิดการผูกขาด และทำให้ไม่เกิดการแข่งขันจริงหรือไม่ ควรพิจารณาถึง สภาพของธุรกิจโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นโทรคมนาคมในระดับสากล ที่ปัจจุบันไม่ได้เน้นที่ เสียงหรือการส่งข้อมูล ที่เป็น Data แต่ปัจจุบันเป็น OTT (Over the Top) ที่หลอมรวมสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสตรีมมิ่ง ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วีดีโอผ่านอินเตอร์เนต ซึ่งคู่แข่งตัวจริง อาจไม่ใช่คู่แข่งรายใหญ่ ในประเทศรายใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงคู่แข่งในต่างประเทศอีกด้วย
สิ่งที่สำคัญที่ต้องพิจารณา คือ เปิดมุมมองให้รอบด้าน และพิจารณาว่า ประชาชนผู้ใช้บริการจากโทรศัพท์มือถือ จะได้รับประโยชน์อย่างไร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี