ต้องยอมรับว่าในภาคการค้าระหว่างประเทศนั้น “การค้าชายแดนผ่านแดน” นั้นมีส่วนสำคัญในการเพิ่มมูลค่าการระหว่างประเทศของไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน เดือนมีนาคม 2566 มีมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดน 163,714 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.57% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนโดยการส่งออกผ่านแดนไปจีนขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน (+99.66%) คิดเป็นมูลค่า 17,610 ล้านบาท
การค้าชายแดนและผ่านแดน เดือนมีนาคม 2566 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 163,714 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 9.57% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของ
ปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 95,992 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 13.93% และการนำเข้ามูลค่า 67,722 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.94% โดยไทยได้ดุลการค้าในเดือนมีนาคม 2566 ทั้งสิ้น 28,269 ล้านบาท โดยการค้าชายแดนกับ 4 ประเทศ (มาเลเซีย สปป.ลาว เมียนมา และกัมพูชา) เดือนมีนาคม 2566 มีมูลค่าการค้ารวม 88,673 ล้านบาท ลดลง 5.53% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 56,521 ล้านบาท ลดลง 0.47% และการนำเข้ามูลค่า 32,151 ล้านบาท ลดลง 12.82% โดยไทยได้ดุลการค้าชายแดนรวม 24,370 ล้านบาท
ทั้งนี้ กับมาเลเซีย มูลค่าส่งออก 15,411 ล้านบาท (-6.32%) สินค้าส่งออกสำคัญได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ อื่นๆ น้ำยางข้น และส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ สปป.ลาวมูลค่าส่งออก 14,719 ล้านบาท (+14.19%) สินค้าส่งออกสำคัญได้แก่ น้ำมันดีเซล น้ำมันสำเร็จรูป
อื่นๆ และสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ เมียนมามูลค่าส่งออก 12,818 ล้านบาท (+1.50%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ และโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทโฟน กัมพูชา มูลค่าส่งออก 13,573 ล้านบาท (-8.42%) สินค้าสำคัญ ได้แก่ รถยนต์นั่งที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องสันดาปภายในเครื่องดื่มอื่นๆ และรถปิกอัพ รถบัสและรถบรรทุกที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องสันดาปภายใน
ขณะที่การค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม (จีน สิงคโปร์ เวียดนาม และประเทศอื่นๆ) เดือนมีนาคม 2566 มีมูลค่ารวม 75,042 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.62% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 39,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.71% และการนำเข้ามูลค่า 35,571 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.79% โดยจีนยังเป็นตลาดส่งออกหลัก โดยสำหรับ จีน มูลค่าส่งออก 17,610 ล้านบาท (+99.66%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ทุเรียนสด ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ สิงคโปร์มูลค่าส่งออก7,132 ล้านบาท (+51.29%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อื่นๆ และเครื่องตัดต่อและป้องกันวงจรไฟฟ้า เวียดนามมูลค่าส่งออก 4,523 ล้านบาท (+29.81%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ น้ำแร่ น้ำอัดลม
ที่ปรุงรส และผ้าผืนทำจากเส้นใยประดิษฐ์ประเทศอื่นๆ (เช่น ฮ่องกง สหรัฐฯและญี่ปุ่น) มูลค่าส่งออก 10,206 ล้านบาท (-2.31%)
ที่ผ่านการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์เพื่อสนับสนุนการค้าชายแดน โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทั้งในส่วนกลาง
และส่วนภูมิภาค อาทิ การผลักดันเปิดจุดผ่านแดนเพื่อขนส่งสินค้าภายใต้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย ณ วันที่ 20 มีนาคม 2566 มีจุดผ่านแดนฝั่งไทยเปิด 87 แห่ง จากทั้งหมด 97 แห่ง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเปิด 74 แห่ง (สถานะคงเดิมตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566) การดำเนินโครงการ “จับคู่กู้เงิน” สถาบันการเงินกับ SMEs ส่งออกโดยร่วมมือกับ EXIM Bank และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในการปล่อยสินเชื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่การส่งออก รวมถึงผู้ประกอบการค้าชายแดน ซึ่ง ณ วันที่ 21 เมษายน 2566 มีผู้ประกอบการยื่นขอสินเชื่อ 1,534 ราย วงเงินรวม 6,353.0 ล้านบาท อนุมัติวงเงินแล้ว 1,511 ราย วงเงินรวม 6,235.9 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในโอกาสพบปะหารือกันระหว่างทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ กับ หอการค้าไทย-จีน นั้น หนึ่งในทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ คือ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ผู้เชี่ยวชาญด้านคมนาคมขนส่งโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการขนาดใหญ่ กล่าวว่า ในส่วนเรื่องโลจิสติกส์ พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสนใจและให้ความสำคัญมาก ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลและได้ดูแลกระทรวงคมนาคม จะพยายามสร้างรถไฟทางคู่ ระยะทางประมาณ 1,500 กิโลเมตร จำนวน 7 เส้นทาง ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ต่อจีดีพีลดลงและเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันของประเทศ
นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสนใจและส่งเสริมการเชื่อมต่อระหว่างประเทศไทย ลาว จีน เพราะฉะนั้นการขนส่งสินค้า การเดินทางจะใช้เวลาไม่นาน จะเพิ่มโอกาสการแข่งขัน เพิ่มโอกาสการทำมาหากินของพี่น้องประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิต ประหยัดค่าใช้จ่ายการเดินทางและการขนส่งสินค้า ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง ลดมลพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมรับกระแสโลกในการลดก๊าซเรือนกระจกและฝุ่น PM2.5
ขณะที่ นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน กล่าวว่า หอการค้าไทย-จีน กล่าวว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ประจำไตรมาส 2/2566 นั้น มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวก่อนสิ้นปี 2566 นี้ และรัฐบาลควรมีมาตรการทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อที่จะฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น มาตรการแก้ไขการขาดแคลนแรงงาน การดึงแรงงานไทยกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน มาตรการสนับสนุนการสร้างธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ มาตรการที่ควบคุมราคาสินค้าเพื่อดูแลค่าครองชีพของประชาชน และมาตรการใหม่ๆ ที่ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ก็สอดคล้องกับการแก้ปัญหาและสิ่งที่นักธุรกิจต้องการ
ทั้งนี้ คณะกรรมการหอการค้าไทย-จีน พร้อมสนับสนุนนโยบายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งโดยเฉพาะทางรถไฟซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ และที่สำคัญช่วยลดมลพิษ เรื่องผ่อนปรนมาตรการ IUU ที่จะต้องมีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อขจัดอุปสรรคต่อการทำมาหากินของชาวประมงทุกกลุ่ม รวมไปถึงการเปิดรับความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนให้มากขึ้น อยากให้ไทยเป็นจุดศูนย์กลางการกระจายสินค้าจากจีนในอาเซียน
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี