nn ความคืบหน้าในการเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ทำให้ผู้ลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของพันธบัตรรัฐบาล ประกอบกับผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ (FOMC) สะท้อนมุมมองว่า FED น่าจะอยู่ใกล้จุดที่จะยุติการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุนโลก เนื่องจากผู้ลงทุนคาดว่าต้นทุนทางการเงินจะไม่เพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันมากนัก ในขณะที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัวและความเสี่ยงจากเงินเฟ้อสูงมีอยู่จำกัดทำให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ นายศรพล ตุลยะเสถียรรองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าในเดือนพฤษภาคม 2566 เริ่มเห็นเงินทุนต่างชาติไหลออกจากพันธบัตรและหุ้นไทยในระยะสั้น หลังทราบผลการเลือกตั้ง เนื่องจากผู้ลงทุนกังวลเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลและนโยบายเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนยังคงติดตามความชัดเจนอย่างใกล้ชิด และหากนโยบายต่างๆ ไม่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงการเพิ่มต้นทุนในการทำธุรกิจที่นักวิเคราะห์คาดว่าเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามา นอกจากนี้หากพิจารณาจากอัตราส่วน Forward P/E ของ SET ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้ผู้ลงทุนบุคคลและสถาบันในประเทศซื้อสุทธิใน 5 เดือนแรก
สำหรับภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2566 SET Indexปิดที่ 1,533.54 จุด ปรับเพิ่มขึ้น0.3% จากเดือนก่อนหน้า และปรับลดลง 8.1% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า โดยปรับไปในทิศทางเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นใน ASEAN ในเดือนพฤษภาคมปี 2566 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค กลุ่มการเงิน กลุ่มบริการ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
เดือนพฤษภาคม 2566 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 54,189 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 31.6% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในห้าเดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 60,933 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่สี่โดยในเดือนพฤษภาคม 2566 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 33,407 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และในเดือนพฤษภาคม 2566มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.จีเอเบิล (GABLE)
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม2566 อยู่ที่ระดับ 16.1 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.5 เท่าและ HistoricalP/E อยู่ที่ระดับ 20.8 เท่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.1 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2566 อยู่ที่ระดับ3.17% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.46%
ส่วนภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในเดือนพฤษภาคม 2566 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 501,638 สัญญา เพิ่มขึ้น 19.3% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 548,016สัญญา ลดลง 3.1% จากปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures
ขณะที่นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณรองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่าในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาหุ้นไทยปรับตัวแรงส่วนหนึ่งเพราะนักลงทุนยังรอดูความชัดเจนการจัดตั้งรัฐบาล และรอประเมินว่านโยบายรัฐบาลใหม่จะส่งผลกระทบในเชิงบวกและลบต่อแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างไรบ้าง ส่งผลให้ราคาหุ้นหลายกลุ่มปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ คาดว่าจะดำเนินนโยบายส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ในหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม และจะทำให้นักลงทุนกลับมามีความมั่นใจ และส่งผลหุ้นไทยปรับตัวฟื้นขึ้นมาได้
นอกจากนี้ หากมองภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันพบว่าการบริโภคในประเทศฟื้นตัวแข็งแกร่ง อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเอื้อต่อการลงทุน ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเริ่มกลับมาฟื้นตัว ปัจจัยดังกล่าวนอกจากจะหนุนการบริโภคในประเทศให้เพิ่มขึ้นแล้ว ยังส่งผลทางอ้อมให้ธุรกิจโรงพยาบาลในไทยมีจำนวนผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้นอีกด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี