ในแวดวงผู้เล่นหุ้น คงไม่มีใคร ไม่รู้จักบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือเรียกสั้นๆว่า “STARK”ซึ่งเข้าตลาดหุ้นในปี 2562 โดยวิธีการทางอ้อม(Backdoor Listing) โดยการให้อีกบริษัทหนึ่งที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นอยู่แล้ว เข้าซื้อสินทรัพย์หรือหุ้นของบริษัทที่ต้องการจะเข้าตลาดหุ้น แปรรูปกิจการมาเป็นบริษัทที่ลงทุนในบริษัทอื่นอีกที (Holding Company) หรือบริษัทที่ประกอบกิจการหลักโดยนำเงินไปลงทุนในบริษัทอื่นอีกทอดหนึ่ง
STARK ได้นำเงินไปลงทุนกับบริษัทซึ่งผู้เป็นผลิตสายไฟและสายเคเบิลแบรนด์ดังระดับโลก นอกจากนี้ ยังเข้าถือหุ้นบริษัทสายไฟฟ้าชั้นนำต่างๆ แทบจะกลายเป็นบริษัทด้านสายไฟฟ้าติดอันดับโลก ที่ผลประกอบการของบริษัทฯ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่สนใจแก่นักลงทุนรายใหญ่ให้เข้ามาถือหุ้น รวมถึงสถาบันการเงินในประเทศไทยและในต่างประเทศให้เข้ามาถือหุ้นด้วยเช่นกัน ในปี 2562 หุ้นถูกเก็งกำไรจนทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ 6.65 บาทต่อหุ้น
นอกจากนี้ STARK ยังมีผู้บริหารที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นถึงทายาทตระกูลดังในเครือบริษัท ทีโอเอ จำกัด ที่ประกอบธุรกิจสี ทาบ้านและประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง จึงได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากผู้ลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นโดยหวังว่า จะเป็นหุ้นคุณภาพดีรับเงินปันผลระยะยาว (Blue Chip Stock)เป็นเสมือนแรงจูงใจให้นักลงทุนผู้ซื้อหุ้นทั้งหลายมองเห็นโอกาสการเติบโตและความแข็งแกร่งของบริษัทในอนาคต โดยเฉพาะการเผยแพร่งบรายได้ผลการประกอบกิจการในช่วง 9 เดือนในช่วงเดือนกันยายน ของปี 2565 ที่มีรายได้ถึงราว 2 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้นราวๆ 11%) ผลกำไรประมาณ 2 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้นราว 18.2%) เทียบงวดเดียวกันกับปีก่อน ยิ่งเรียกให้นักลงทุนสนใจควักกระเป๋าซื้อหุ้นมากขึ้น
แม้ STARK จะมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทว่ากลับยังไม่จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นรายใดเลย ซึ่งอาจเป็นเหตุผลให้ผู้ถือหุ้นบางรายทยอยเทขายหุ้นตั้งแต่ในช่วงกลางปี 2565 ที่ได้มีการเพิ่มทุน ระดมทุนโดยการออกหุ้นกู้เพิ่ม ซึ่งอ้างว่าจะนำไปลงทุนซื้อกิจการบริษัทสัญชาติเยอรมันที่ประกอบกิจการสายเคเบิลยานยนต์
จนกระทั่งช่วงเดือนธันวาคมในปีเดียวกัน STARK ประกาศยกเลิกการนำเงินที่เพิ่มทุนไปลงทุนหุ้นตามที่ประกาศแก่ผู้ถือหุ้นไว้ด้วยเหตุผลที่ไม่ชัดเจน มีผลให้หุ้นมีราคาตกต่ำลง และโดยเฉพาะท่าทีบ่ายเบี่ยงไม่ยอมนำงบการเงินแสดงผลประกอบการในปีที่ผ่านมาแสดงต่อตลาดหลักทรัพย์ จนกลายเป็นปริศนาที่หลายฝ่ายอยากรู้ ยื้อเวลาไปจนผิดนัดชำระเงินหุ้นกู้มูลค่าถึง 9,000 ล้านบาท
ในที่สุดตลาดหลักทรัพย์ฯประกาศห้ามซื้อขายหุ้นของบริษัท STARK เมื่อเดือน พ.ค.-มิ.ย. ปี 2566 กรรมการบริหารประกาศลาออกจากตำแหน่ง 7 คน โดยหนึ่งในจำนวนนั้นเป็นทายาทตระกูลดังในเครือบริษัททีโอเอ จำกัด ด้วย
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2566 ที่ผ่านมา ปริศนาเริ่มคลี่คลายเมื่อ STARK ได้นำส่งงบการเงินของผลประกอบการ ปี 2565 ผลปรากฏว่า ในปี 2565 STARK มีผลขาดทุนสุทธิ 6,651 ล้านบาท ส่วนในปี 2564 STARK มีผลขาดทุนสุทธิ 5,989.3 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นรวมของ STARK ติดลบ 4,403 ล้านบาท มีรายการผิดปกติ 14 รายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีการโอนเงินออกไปให้บริษัทหนึ่งซึ่งเป็น “บริษัทที่เกี่ยวข้องกันกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายหนึ่ง” โดยผู้ตรวจสอบบัญชีของบริษัทตรวจสอบบัญชีชื่อดัง ได้ให้การรับรอง โดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ประกอบงบการเงินดังกล่าว
ผู้ถือหุ้น STARK จำนวนมากกว่า 11,000 ราย ได้ตกเป็นผู้เสียหาย และได้ทยอยเข้าแจ้งความกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) บรรดาผู้ถือหุ้นอ้างว่า อดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) STARK ให้ข้อมูลว่า ได้รับคำสั่งจากผู้บริหารให้ตกแต่งงบการเงินของบริษัท จนทำให้บริษัทมีภาพพจน์ที่ดีและได้รับความน่าเชื่อถือจากนักลงทุน
ประเด็นที่น่าสนใจมีว่า STARK ใช้บริการผู้ตรวจสอบบัญชีที่มีชื่อเสียงถึง 2 บริษัท ที่จัดอยู่ในระดับ Big 4 ถือเป็นหนึ่งในสี่บริษัทที่ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อถือในแวดวงธุรกิจ เมื่อรับรองงบดุลแล้วนักลงทุนจึงเชื่อถือและซื้อหุ้นเพื่อลงทุนในบริษัท STARKผู้สอบบัญชีรายแรก ตรวจสอบไม่พบความผิดปกติแต่ผู้ตรวจสอบบัญชีรายที่สองตรวจพบความผิดปกติและทุจริต
ที่สำคัญคือ STARK ได้มีการยักย้ายถ่ายเทเงินออกจากบริษัทไปเข้าอีกบริษัทหนึ่ง ที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ STARK โดยไม่มีคำอธิบายและเหตุผลที่รับฟังได้
นอกจากนี้ ผลของการตกแต่งบัญชีงบการเงินบริษัท ทำให้หุ้นของ STARK มีราคาสูงเกินกว่ามูลค่าที่เป็นจริงหลายเท่าตัว ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ STARK ที่พัวพันกับบริษัทที่รับโอนเงินจาก STARK ได้เทขายหุ้น STARK เป็นจำนวนมากมีมูลค่านับหมื่นล้านบาทสร้างกำไรจากการขายหุ้นอย่างมหาศาล ในขณะที่ผู้ถือหุ้น STARK ที่ซื้อหุ้นต่อมาภายหลัง หุ้นเหลือมูลค่าเพียง 0.20 บาท จากเดิมที่มีมูลค่า อยู่ในระดับ 5.00-6.65 บาท ต่อหุ้น
จริงอยู่ที่การตรวจสอบบัญชีจะไม่สามารถนำเอกสารธุรกรรมทั้งหมดมาตรวจสอบด้วยการบวกลบได้ แต่ต้องมีความถี่ในการสุ่มตรวจที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เงินของบริษัทถูกยักย้ายถ่ายเทโดยไม่มีเหตุผลสมควรเป็นจำนวนมาก น่าจะตรวจสอบพบได้ และไม่น่าจะหลุดรอดจากการตรวจสอบที่ละเอียดไปได้
กรณีของบริษัท STARK จึงเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฟอกเงิน และยังเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ คอมพิวเตอร์ และพระราชบัญญัติหลักทรัพย์
นักลงทุนควรศึกษาการลงทุนอย่างมีสติ และอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลที่เชื่อถือได้
ที่สำคัญคือ นักลงทุนต้องยอมรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี