nn ต้องบอกว่าขณะนี้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยน่าเป็นห่วงมากจริงๆ เพราะปัจจุบันอัตราการผลิตรวมของอุตสาหกรรมเหล็กไทยเฉลี่ยเหลือเพียงกว่า 20% เท่านั้น ต่ำสุดในรอบ 10 ปีจากเดิมเคยอยู่ระดับ 30-40% ซึ่งระดับดังกล่าวถือว่าต่ำแล้ว ซึ่งขณะนี้ยิ่งต่ำลงไปอีกถือเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลมาก และหนึ่งในเหตุผลคือสะท้อนได้จากตัวเลขการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป 9 เดือนสะสมจากจีน ในปี 2565 มีจำนวน 2,847,869 ตัน และปี 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,490,987 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 22.6% (ข้อมูลจาก สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย)
มีเสียงสะท้อนออกมาจากผู้ผลิตเหล็กของไทย เช่นกรณีของคุณประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีลจำกัด (มหาชน) หรือ MILL ที่ระบุว่าขณะนี้กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ เข้าขั้นวิกฤตและกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากหลายปัจจัยโดยเฉพาะการถูกดัมพ์ราคา หรือการถูกทุ่มตลาด จากสินค้าจีนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา บวกกับต้นทุนการผลิตจากการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานส่งผลให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไม่สามารถแข่งขันได้
กลุ่มมิลล์คอนฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ในประเทศ หนีไม่พ้นที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าวไปด้วย ดังนั้นจึงวอนขอให้ภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้ามาช่วยเหลืออุตสาหกรรมเหล็กโดยด่วน 3 แนวทาง ซึ่งเป็นการดำเนินการแก้ไขปัญหาทั้งระบบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ประกอบด้วย 1.ปัญหาของเศษเหล็ก ที่ปัจจุบันโรงหลอมทั้งหมดในประเทศมีปัญหาเรื่องของการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) โดยผู้ผลิตเหล็กในฐานะผู้ซื้อผู้บริการ ที่อยู่ในระบบภาษีถูกต้อง สามารถเป็นผู้นำส่งภาษีให้กับทางกรมสรรพากรแทนผู้ขายได้หรืออาจใช้ในรูปแบบ No VAT เช่นเดียวกับสินค้าเกษตร เนื่องจากเป็นสินค้าอุปโภค-บริโภคเช่นกัน
2.ภาครัฐควรเร่งเข้ามาดูแลเรื่องของราคาพลังงานทั้งค่าไฟฟ้า และน้ำมัน ที่จะมีผลต่อการขนส่งสินค้า เนื่องจากขณะนี้ราคาพลังงานที่ใช้ในปัจจุบัน ยังคงเป็นต้นทุนที่สูงอยู่แม้ภาครัฐจะมีการช่วยเหลือปรับอัตราราคาให้ต่ำลงกว่าเดิมแล้วก็ตาม 3.ผู้ผลิตเหล็กในประเทศ ต้องการให้ภาครัฐขยายการห้ามตั้งหรือขยายโรงงานเหล็กเส้นในประเทศไทยออกไปอีก ซึ่งประกาศดังกล่าว ระบุไว้ว่า “ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตทุกขนาด ทุกท้องที่ ในราชอาณาจักรตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 เป็นเวลา 5 ปี” ซึ่งประกาศมีขึ้นในปี 2563 และจะครบกำหนดในปี 2568 นอกจากนี้ ไทยควรใช้แนวทางเดียวกับประเทศมาเลเซีย ที่ห้ามตั้งโรงงานเหล็กทุกประเภทเป็นเวลา 2 ปี ถือเป็นมาตรการที่ปกป้องตลาดเหล็กในประเทศได้อย่างมาก
คุณประวิทย์กล่าวอีกว่าปัจจุบัน มิลล์คอนฯ มีการผลิตเหล็กเส้น เหล็กแท่งทรงยาว เหล็กเส้นข้ออ้อย และผลิตภัณฑ์เหล็กคุณภาพสูงประเภทอื่นๆ รวมกำลังการผลิต 10,000-20,000ตัน/เดือน หรือ 200,000 ตัน/ปี ซึ่งลดลงจากกำลังการผลิตเต็ม(Capacity) ที่มีถึง 600,000 ตัน/ปี กำลังการผลิตที่ไม่เต็มความสามารถดังกล่าว เกิดจากมีปริมาณเหล็กที่นำเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถผลิตเต็ม Capacity ที่มีได้หรือใช้กำลังการผลิตเพียง 20-30% เท่านั้น ซึ่งสภาวะแบบนี้เกิดขึ้นกับทั้งอุตสาหกรรมผู้ผลิตเหล็กในประเทศ และมีแนวโน้มว่ากำลังการผลิตของแต่ละบริษัทจะลดลงเรื่อยๆ หากปัญหาการดัมพ์ราคาของเหล็กที่นำเข้าจากจีน ยังไม่ได้รับการแก้ไข และนี่ยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ ที่ล่าสุดโรงงานเหล็กรายใหญ่และเก่าแก่ของไทยต้องปิดกิจการลง สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอุตสาหกรรมเหล็กไทยเข้าขั้นวิกฤต
“เรามีกำลังการผลิตแต่ใช้ไม่ได้ ผู้ผลิตเหล็กในประเทศ ต่างวิตกกังวลอย่างมาก เพราะการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง เป็นผลจากการอนุญาตให้ตั้งโรงงานผลิตเหล็กเส้นเพิ่มเติมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยไม่ได้ศึกษาความต้องการอย่างจริงจัง ทำให้กำลังการผลิตส่วนเกินเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นเหตุให้มีการแข่งขันเชิงการค้าขายอย่างสูง มีการหั่นราคาจนผู้ประกอบการเดิมต้องปิดตัวลงหลายรายในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จึงต้องเสนอมาตรการและขอให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด แต่มิลล์คอนฯ เอง นอกจากรอความช่วยเหลือจากภาครัฐ อีกแนวทางหนึ่งคือการปรับตัวหันไปสู่การผลิตเหล็กเกรดพิเศษ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ และขยายตลาดเพิ่ม”นายประวิทย์ กล่าว
เช่นเดียวกันกับคุณนาวา จันทนสุรคน กรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ที่ได้กล่าวว่า ปัญหาที่อุตสาหกรรมเหล็กไทยเจอมาตลอด คือ การทะลักของเหล็กจีนเข้ามาขายในไทย หลังจากเศรษฐกิจจีนไม่เติบโตตามเป้า ทำให้กำลังการผลิตเหล็กในประเทศโอเวอร์ซัพพลาย จึงต้องระบายไปประเทศปลายทาง หนึ่งในนั้นคือ ประเทศไทย ขณะเดียวกันหลายปีที่ผ่านมาไทยเปิดให้มีการตั้งโรงงานและขยายโรงงานเหล็ก ทำให้ผู้ประกอบการจีนเข้ามาตั้งโรงงานบางประเภทในไทยจำนวนมาก จนกระทั่งช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลประกาศห้ามตั้งและขยายโรงงานเหล็ก หากยังปล่อยให้ตั้งและขยายถึงปัจจุบัน ผลกระทบต่อผู้ผลิตเหล็กไทยจะรุนแรงกว่านี้ ล่าสุดทราบว่ามาเลเซียออกประกาศห้ามตั้งและขยายโรงงานเช่นกัน เพราะเจอปัญหาเหล็กต่างประเทศตีตลาด แต่มาเลเซียห้ามโรงงานทุกชนิด ซึ่งไทยควรพิจารณาเรื่องนี้ด้วย
ด้านคุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ส่วนหนึ่งต้องมาจากการบริโภคสินค้าในประเทศเพื่อให้เศรษฐกิจภายในแข็งแกร่ง แต่ปัจจุบันผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรมเพื่อจำหน่ายในประเทศต่างมีความกังวลและส่งสัญญาณมาตลอดจากปัญหาสินค้าอุตสาหกรรมจากต่างประเทศทะลักเข้าไทย ทั้งสินค้าราคาถูก และสินค้าไร้มาตรฐานลักลอบเข้ามา ปัจจุบันกว่าครึ่งของ 45 กลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมดของ ส.อ.ท.ต่างได้รับผลกระทบ กำลังผลิตลดลง เพราะสินค้าขายได้ลดลงจากสินค้าต่างประเทศราคาถูกตีตลาดกระทบต่อเนื่องไปยังการจ้างงาน อาทิ กลุ่มเหล็กที่มีปัญหามาตลอดหลายปี กลุ่มเครื่องนุ่งห่มกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า และ ส.อ.ท.กังวลว่า หากรัฐบาลไม่รีบเข้ามาช่วยเหลืออาจตามรอยปัญหาหมูเถื่อนที่ระบาดอย่างหนักเวลานี้
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี