เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองอีกครั้ง
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 ให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่ามีการกระทำผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงจากการสนทนาทางโทรศัพท์กับอดีตผู้นำกัมพูชาซึ่งศาลมองว่าการกระทำดังกล่าวมีผลกระทบต่อผลประโยชน์และชื่อเสียงของประเทศ เหตุการณ์นี้ปิดฉากการดำรงตำแหน่งของผู้นำที่อายุน้อยที่สุดของไทยหลังบริหารประเทศได้เพียงหนึ่งปี และตอกย้ำวัฏจักรความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยอีกครั้ง
แรงสะเทือนถึงตลาด : หุ้นดิ่ง ค่าเงินบาทผันผวน
ข่าวการถอดถอนนายกรัฐมนตรีส่งผลกระทบต่อตลาดทันที ดัชนีหุ้นไทย (SET) ปรับตัวลงประมาณ 1%
ในวันที่มีคำตัดสิน และนับตั้งแต่ต้นปี ดัชนีได้ปรับตัวลงสะสมอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นหนึ่งในตลาดที่ผลงานแย่ที่สุดในเอเชียปีนี้ ขณะที่ค่าเงินบาท ณ วันที่ 1 กันยายน 2568 แม้จะมีความผันผวน แต่ยังมีรายงานว่ายังคงแข็งค่าอยู่ ซึ่งสะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อเสถียรภาพนโยบายและทิศทางเศรษฐกิจในช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจ
การเมืองเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน : ศึกชิงนายกฯและคิงเมคเกอร์คนใหม่
ในเชิงขั้นตอน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีชุดเดิมจะทำหน้าที่เป็นรัฐบาลรักษาการจนกว่ารัฐสภาจะลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดเส้นตายที่ชัดเจนต่อการประชุมลงมติดังกล่าว
ขณะที่สภาได้เรียกประชุมวาระพิเศษเพื่อเดินหน้ากระบวนการทางการเมือง สำหรับ “รายชื่อว่าที่นายก”
สื่อกระแสหลักให้ความสนใจกับหลายชื่อ อาทิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, นายชัยเกษม นิติสิริ จากเพื่อไทย, นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จากพรรครวมไทยสร้างชาติ รวมถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แม้จะวางมือจากการเมือง แต่ยังมีอิทธิพลทางการเมืองบางส่วน และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
โดยองค์ประกอบและแรงต่อรองของแต่ละกลุ่มจะเป็นตัวแปรสำคัญต่อเสถียรภาพนโยบายในระยะถัดไปหลายฝ่ายกำลังเคลื่อนไหวเพื่อรวบรวมเสียงสนับสนุนสำหรับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยสื่อนานาชาติชี้ว่า พรรคประชาชน ซึ่งครองที่นั่งเกือบหนึ่งในสามของสภา อาจกลายเป็น “คิงเมคเกอร์”
และได้ยื่นเงื่อนไขด้านการปฏิรูปการเมือง เช่น การทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการยุบสภาภายใน 4 เดือน
ความท้าทายทางเศรษฐกิจ : ดอกเบี้ยลดแต่เครื่องยนต์ยังไม่ติด
ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ ฉากหลังทางเศรษฐกิจของไทยก็เผชิญกับความท้าทายเช่นกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่งประกาศ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อพยุงการเติบโตที่ชะลอลงและรับมือแรงกดดันจากภายนอก เช่น ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการส่งออกที่อ่อนแรง
แม้ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2/2568 จะเติบโตที่2.8% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อยแต่การคาดการณ์อัตราการเติบโตทั้งปีมีแนวโน้มจะอยู่ในช่วงที่ต่ำและจะอ่อนแรงลงในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ในเดือนกรกฎาคมก็หดตัวเกือบ 4%ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบสองปี โดยมีปัจจัยกดดันจากหลายด้าน
มุมมองในระยะสั้น : 3 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา
ในระยะสั้น สิ่งที่ตลาดและภาคธุรกิจกำลังจับตาเป็นพิเศษมี 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
1.ความรวดเร็วและความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาล : ทุกความล่าช้าจะยืดความเสี่ยงด้านนโยบายและสร้างแรงขายในสินทรัพย์ไทย
2.สัญญาณต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจ : โดยเฉพาะแพ็กเกจฟื้นฟูการลงทุนและการส่งออก ซึ่งเป็นจุดอ่อนเชิงโครงสร้าง
3.จุดยืนต่อการปฏิรูปการเมือง : ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติทั้งทางตรงและทางอ้อม
หากขั้วการเมืองสามารถตกลงกันได้ภายใต้เงื่อนไขที่ชัดเจนและเคารพกติกาตลาดมีโอกาสที่จะฟื้นตัวจากระดับมูลค่าที่ถูกเมื่อเทียบกับภูมิภาค แต่หากเข้าสู่เกมที่ยืดเยื้อ ความผันผวนของดัชนี SET และเงินบาทจะคงอยู่ต่อไป พร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นในระยะกลาง
สถานการณ์นี้ย้ำเตือนว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
ดร.กร พูนศิริวงศ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี