แม้จะดูเป็นเพียงการขยับราคาทีละเล็กทีละน้อย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ไม่ใช่เงินเฟ้อปกติ
หากแต่เป็นผลโดยตรงจากนโยบายกีดกันทางการค้าชุดใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ภายใต้นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” รัฐบาลเริ่มจัดเก็บภาษีนำเข้า 10% จากสินค้าหลายประเภทส่งผลให้ราคาบนป้ายสินค้าในห้างสรรพสินค้า ร้านอะไหล่รถยนต์ และซูเปอร์มาร์เก็ตค่อยๆ ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนสิงหาคม2025 ชี้ว่าเงินเฟ้อโดยรวมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ดัชนี Core CPI ซึ่งเป็นตัววัดแรงกดดันเงินเฟ้อที่แท้จริงจากการตัดราคาอาหารและพลังงานออก ก็พุ่งสูงถึง ร้อยละ 3.1 ตัวเลขย่อยยิ่งชี้ชัดว่าสินค้าที่อ่อนไหวต่อภาษีมีการขยับราคาอย่างเห็นได้ชัด เช่น เสื้อผ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 รถยนต์ใหม่ 0.3% และของใช้ในบ้าน 0.2%
เมื่อตัวเลขการขยับเล็กน้อยเหล่านี้รวมเข้ากับค่าอาหารและพลังงานที่สูงขึ้น ภาระที่ตกอยู่บนครอบครัวชนชั้นกลางก็ยิ่งชัดเจนและเป็นรูปธรรม
เงาของ Stagflation และโจทย์ยากของ Fed
ในขณะที่ราคาสินค้าปรับขึ้น ตลาดแรงงานสหรัฐฯ กลับแสดงสัญญาณอ่อนแรงผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานแตะระดับสูงสุดตั้งแต่ปลายปี 2021 ขณะที่การจ้างงานใหม่แทบไม่มีการเติบโตตั้งแต่ไตรมาสสองของปีภาพที่ปรากฏจึงคล้ายกับ“Stagflation”—ภาวะเงินเฟ้อสูงที่เกิดขึ้นในสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งเป็นฝันร้ายของธนาคารกลาง
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะเลือกปรับลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจที่ซบเซาหรือจะคงดอกเบี้ยในระดับสูงเพื่อสกัดเงินเฟ้อไม่ให้ฝังรากในระบบตลาดคาดว่า Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้และอาจเดินหน้าลดต่อเนื่องในปี 2026 อย่างไรก็ตาม หากเงินเฟ้อยังคงดื้อรั้น แนวทางนโยบายก็จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเสี่ยง
ไทยท่ามกลางแรงบีบสองทาง
แม้ไทยจะไม่ใช่เป้าหมายโดยตรงของมาตรการภาษี แต่ในฐานะเศรษฐกิจเปิดที่พึ่งพาการส่งออกความสั่นสะเทือนย่อมส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมอุตสาหกรรมหลักอย่างอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อุปทานโลกหากสินค้าที่ผลิตในไทยถูกนำไปประกอบต่อในสหรัฐฯ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้าย่อมทำให้ราคาสุดท้ายสูงขึ้นและอาจลดคำสั่งซื้อจากคู่ค้าในที่สุด
อีกด้านหนึ่ง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แม้ช่วยลดต้นทุนนำเข้าบางส่วน แต่ยังมีแรงกดดันจากต้นทุนของวัตถุดิบนำเข้า และสินค้าชิ้นส่วนที่ต้องพึ่งตลาดต่างประเทศอยู่ดีผู้ประกอบการไทยจึงเผชิญทั้งโอกาสและความท้าทาย สำหรับผู้บริโภคไทยผลกระทบเริ่มสะท้อนผ่านราคาสินค้านำเข้า เช่น รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าแบรนด์เนมที่มีแนวโน้มแพงขึ้น
ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยก็เตือนถึงความเป็นไปได้ที่สินค้าจีนราคาถูกซึ่งไม่สามารถเข้าสหรัฐฯได้ อาจทะลักเข้าสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สร้างการแข่งขันที่รุนแรงต่อผู้ผลิตในประเทศ หากไทยไม่เร่งเสริมความแข็งแกร่งของตลาดในประเทศและสร้างความได้เปรียบเชิงคุณภาพ ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กอาจเป็นกลุ่มแรกที่รับแรงกระแทกจากสถานการณ์นี้
ความจริงใหม่ทางเศรษฐกิจโลก
มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเล่นเกมการเมือง แต่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก โลกที่เคยเชื่อมโยงกันด้วยการค้าเสรีกำลังถูกกั้นด้วยกำแพงใหม่ ราคาสินค้าที่ยกตัวขึ้นทั่วโลก บวกกับแรงกดดันจากตลาดแรงงานที่เปราะบาง กำลังสร้างโจทย์ยากต่อผู้กำหนดนโยบายในทุกประเทศสำหรับไทยและเพื่อนบ้านในอาเซียน
บทเรียนสำคัญคือไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกเป็นเครื่องยนต์หลักเพียงอย่างเดียวได้ตลอดไป ทางรอดคือการกระจายตลาดและสร้างฐานเศรษฐกิจภายในที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะภาค เศรษฐกิจดิจิทัล ฟินเทคอี-คอมเมิร์ซ และนวัตกรรมการเงินใหม่ๆ ที่จะกลายเป็นเกราะป้องกันสำคัญในโลกที่กำแพงการค้าสูงขึ้น การสร้างแรงขับเคลื่อนภายในควบคู่กับการปรับตัวเชิงโครงสร้าง จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยยืนหยัดได้ แม้โลกจะผันผวน
เมื่อกำแพงการค้าสูงขึ้น ต้นทุนของการค้าไม่ได้วัดจากภาษีนำเข้าหรือดุลการค้าเพียงอย่างเดียวแต่คือราคาที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการทั่วโลกต้องจ่าย และนี่คือความจริงใหม่ที่ทุกประเทศจำเป็นต้องยอมรับและปรับตัวให้ทัน
ดร.กร พูนศิริวงศ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี