ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทยกำลังกลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่ท่ามกลางกระแสการลงทุนที่พุ่งขึ้น นักลงทุนที่ชาญฉลาดจะไม่มองเพียงแค่ผลตอบแทน แต่ต้องเริ่มต้นจาก “ความปลอดภัย” ของแพลตฟอร์มเป็นอันดับแรก บทความนี้จะเจาะลึก 3 มิติสำคัญที่นักลงทุนไทยทุกคนควรรู้เพื่อปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเอง ตั้งแต่วิธีคัดกรองแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ หลักเกณฑ์สำคัญจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง ก.ล.ต. ไปจนถึงแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยระดับโลกอย่างกองทุน SAFU
1. 3 ขั้นตอนคัดกรองแพลตฟอร์มคริปโตฯ ที่ไว้ใจได้
การเลือกแพลตฟอร์มซื้อขายที่เหมาะสมคือด่านแรกของการลงทุนที่ปลอดภัยนักลงทุนควรใช้เวลาในการตรวจสอบข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจโอนเงินเข้าสู่ระบบ
• ตรวจสอบใบอนุญาตกับ ก.ล.ต. เสมอ : กฎหมายไทยกำหนดชัดเจนว่าผู้ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้บริการแก่คนไทยจะต้องได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นักลงทุนควรตรวจสอบรายชื่อ“ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาต”บนเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. ทุกครั้งก่อนเปิดบัญชีและทำธุรกรรม
นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการหลีกเลี่ยงแพลตฟอร์มเถื่อนที่อาจไม่มีมาตรการคุ้มครองผู้ใช้งาน
• ศึกษามาตรการดูแลสินทรัพย์ลูกค้า (Custody Policy) : ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตในไทยมีข้อบังคับให้ต้องแยกทรัพย์สินของลูกค้าออกจากทรัพย์สินของบริษัทอย่างชัดเจน รวมถึงการมีกระบวนการดูแล “กุญแจเข้ารหัส”และกระเป๋าเงินดิจิทัลอย่างปลอดภัย นักลงทุนควรอ่านนโยบาย Custody ของแพลตฟอร์มนั้นๆ และเลือกผู้ให้บริการที่สามารถอธิบายมาตรการเหล่านี้ได้อย่างโปร่งใส
• ระวังบริการ “ฝากเหรียญรับดอกเบี้ย” : ก.ล.ต. ไทยมีข้อห้ามอย่างชัดเจนไม่ให้ธุรกิจคริปโตฯ ในประเทศเสนอหรือสนับสนุนบริการฝากเหรียญเพื่อรับดอกเบี้ยหรือผลตอบแทน การดำเนินการเช่นนี้มีความเสี่ยงสูงและเคยนำไปสู่ปัญหาการล้มละลายของแพลตฟอร์มในต่างประเทศ หากนักลงทุนพบแพลตฟอร์มใดที่โฆษณาบริการลักษณะนี้ ควรตั้งข้อสงสัยและหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยง
นอกจากนี้ การเสริมเกราะป้องกันในส่วนของนักลงทุนเองก็มีความสำคัญไม่แพ้กันควรเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) หรือ Passkey ตั้งรหัสผ่านที่ยาวและไม่ซ้ำใคร และระวังการโจมตีแบบฟิชชิง (Phishing) โดยไม่คลิกลิงก์จากอีเมลหรือข้อความที่ไม่น่าเชื่อถือ
2. หลักเกณฑ์ ก.ล.ต. ไทย : สิ่งที่นักลงทุนควรรู้
ก.ล.ต.มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับระบบนิเวศคริปโตฯ ในประเทศไทยโดยมีหลักเกณฑ์สำคัญที่นักลงทุนควรรู้ ดังนี้
• การห้ามใช้คริปโตฯ ชำระค่าสินค้า/บริการ : เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคา การฟอกเงินและเสถียรภาพทางการเงิน ก.ล.ต.ได้ประกาศห้ามใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการภายในประเทศโดยเด็ดขาดนักลงทุนจึงควรระวังแพลตฟอร์มหรือร้านค้าที่โฆษณารับชำระด้วยคริปโตฯ ในไทย
• กฎการดูแลกระเป๋าเงินและกุญแจเข้ารหัส : ก.ล.ต.กำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ดูแลสินทรัพย์ของลูกค้า เช่น การแยกสินทรัพย์ลูกค้าออกจากสินทรัพย์ของบริษัท การควบคุมการเข้าถึงกุญแจเข้ารหัสอย่างเข้มงวด และการตรวจสอบระบบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ มาตรฐานเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าสินทรัพย์ของพวกเขาจะได้รับการดูแลอย่างปลอดภัย
• การคัดกรองผู้ให้บริการต่างประเทศ : แม้ผู้ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจะตั้งอยู่ในต่างประเทศ แต่หากมีลักษณะการให้บริการแก่คนไทย ผู้ให้บริการนั้นก็ต้องได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายไทย หากแพลตฟอร์มที่สนใจไม่อยู่ในรายชื่อผู้ได้รับอนุญาตของ ก.ล.ต. การคุ้มครองผู้ใช้งานอาจมีจำกัด ดังนั้น นักลงทุนควรยึดรายชื่อที่ ก.ล.ต. ประกาศเป็นหลักก่อนตัดสินใจเปิดบัญชี
3. ตัวอย่างแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยระดับโลก : กองทุน SAFU
นอกเหนือจากการกำกับดูแลของภาครัฐ แนวปฏิบัติเชิงรุกจากภาคเอกชนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานแนวทางที่โดดเด่นคือ Secure Asset Fund for Users (SAFU) ซึ่งเป็น “กองทุนฉุกเฉิน”ที่แพลตฟอร์มซื้อขายขนาดใหญ่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นเงินสำรองในกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การถูกโจมตีทางไซเบอร์ หรือระบบล่ม กองทุนนี้จะถูกแยกออกจากงบดุลของบริษัทอย่างสิ้นเชิงเพื่อความโปร่งใสและปลอดภัย
ปัจจุบัน กองทุน SAFU มีมูลค่ารวมกว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐและประกอบด้วยเหรียญ Stablecoin ที่สามารถตรวจสอบได้ จุดประสงค์ของกองทุนนี้คือการสร้าง “ชั้นคุ้มครอง” เพิ่มเติมให้กับผู้ใช้งาน
นอกเหนือไปจากมาตรการกำกับดูแลของภาครัฐ และยังเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยอย่างแท้จริงจะลงทุนเพื่อผู้ใช้งานอย่างเป็นรูปธรรม
ความปลอดภัยคือหัวใจของการลงทุนที่ยั่งยืน
การลงทุนในตลาดคริปโตฯ ที่ผันผวนต้องอาศัยวินัยและข้อมูลที่รอบด้าน นักลงทุนไทยควรเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบใบอนุญาตกับ ก.ล.ต. เลือกแพลตฟอร์มที่มีนโยบายการดูแลสินทรัพย์ลูกค้าที่ชัดเจน หลีกเลี่ยงข้อเสนอที่ขัดต่อกฎหมายและเสริมเกราะป้องกันในส่วนของตนเอง
หากแพลตฟอร์มใดมีมาตรการเพิ่มเติมอย่างกองทุนฉุกเฉินที่มีความโปร่งใสเหมือน SAFU ก็ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกอย่างยิ่ง
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยั่งยืนจึงต้องอาศัยการผสมผสานทั้ง “กฎที่ดี ระบบที่ปลอดภัย และวินัยของผู้ลงทุน” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาวและช่วยให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าในฐานะศูนย์กลางของเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมั่นคง
ดร.กร พูนศิริวงศ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี