“ผลกระทบค่าบาทแข็งต่อบจ.”

บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) ประเมินผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ไทย ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้น และแข็งเกินกว่าค่าเงินเอเชียสกุลอื่นๆ เนื่องจากเหตุผลสำคัญสองประการ ข้อแรก คือมีความคาดหวังมากขึ้นว่าสหรัฐจะลดดอกเบี้ยในปี 2569 เพราะจะมีการเปลี่ยนตัวประธานธนาคารกลางสหรัฐ( Fed) ในเดือนพฤษภาคม 2569 เพื่อให้เป็นคนที่มีแนวทาง dovish มากขึ้น แบบที่ประธานาธิบดี Donald Trump ชื่นชอบ ข้อที่สอง ค่าเงินบาทที่แข็งส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีปริมาณการซื้อขายทองคำออนไลน์อย่างหนาแน่น ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลของไทยต้องออกมาตรการควบคุม อย่างไรก็ตามเรายังคงมองว่าสมมติฐานค่าเงินบาทปี 2569 ของเรายังเหมาะสมอยู่

ในปี 2569 นักเศรษฐศาสตร์ของเรายังคงมุมมองที่ต่างจาก consensus ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยสามรอบ ทำให้อัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate ลดลงมาอยู่ที่ 3.00% จึงคาดว่าค่าเงินดอลลาร์จะมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง และ จะเป็นเหตุให้ค่าเงิน ASEAN และ เงินบาทไทยแข็งค่า

เรามองว่าหุ้นกลุ่มที่มีหนี้ดอลลาร์ก้อนใหญ่น่าจะได้รับผลบวกในแง่ของประมาณการกำไรจากการที่เงินบาทแข็งค่ามากกว่าที่คาดไว้ โดยในกลุ่มโรงไฟฟ้า เราคิดว่า EGCO และ CKP อ่อนไหวกับอัตราแลกเปลี่ยนมากที่สุด ขณะเดียวกันยังคาดว่า AAV จะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้สูงประเมินอย่างคร่าว ๆ ว่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุกๆ 1 บาท/ดอลลาร์ จะทำให้ AAV มีกำไรที่ยังไม่รับรู้ 1.0 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามในเชิงของกลยุทธ์การเก็งกำไร หุ้นโรงไฟฟ้าไม่ได้มีปัจจัยกระตุ้นด้านบวกในเชิงปัจจัยพื้นฐาน ขณะที่แคมเปญหาเสียงในช่วงเลือกตั้งของไทยมักจะมีเรื่องการลดค่าไฟ เราจึงมองว่าหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ามี upside ในระยะสั้นจำกัด

ส่วนผลกระทบเชิงลบ เรามองว่าหุ้นส่งออกอย่างเช่นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อาจจะได้รับผลกระทบในแง่ลบ จากการที่เงินบาทแข็งค่าเกินกว่าที่คาดไว้ ทั้งนี้ HANA เป็นหุ้นที่อ่อนไหวมากที่สุดกับการแข็งค่าของเงินบาท คาดว่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 1 บาท/ดอลลาร์ จะกระทบกับกำไรปี 2569 ถึง 18% รองลงมาคือ SVI ที่ 9% เรายังมองว่ามีความเสี่ยงที่อุปสงค์การท่องเที่ยวจะลดลง เพราะค่าเงินบาทที่แข็งทำให้การเดินทาง และใช้จ่ายในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวมีราคาแพงขึ้น รายได้ในสกุลดอลลาร์ของกลุ่มโรงแรมยังอาจถูกกดดันเช่นกัน เราประเมินว่าเงินบาทที่แข็งขึ้น 1 บาท/ดอลลาร์ จะทำให้กำไร MINT และ SHR มี downside ประมาณ 5%

ที่มา..บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)