วันจันทร์ ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2568
“ประเทศไทยและภูฏาน มีสายสัมพันธ์ที่หาได้ยาก เราเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคม ขณะที่จักรวรรดิต่างๆเข้ายึดครองและแบ่งแยกดินแดน ประเทศไทยยังคงเป็นเอกราช ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ต่อเนื่องกันมา และที่สำคัญที่สุดด้วยความเข้มแข็งอดทน ของประชาชนชาวไทย จิตวิญญาณแห่งเอกราชหยั่งรากลึกในแผ่นดินนี้”
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือพระราชดำรัสของสมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก พระมหากษัตริย์ของราชอาณาจักรภูฏาน ที่พระราชทานไว้เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘ ในวโรกาสที่พระองค์ทรงได้รับการทูลเกล้าฯถวาย ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการพัฒนาระหว่างประเทศ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะที่ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่พสกนิกรด้วยพระราชหฤทัยตั้งมั่นอยู่บนการพัฒนาอันยั่งยืน ทรงให้ความสำคัญด้านการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ ทรงดำเนินโครงการในพระราชดำริ โดยให้ความสำคัญแก่เยาวชนและเด็ก ทรงเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน และทรงสนับสนุนการมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นของประชาชนตามวิถีประชาธิปไตย
และในวโรกาสเดียวกันนี้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทูลเกล้าถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาวิชาสังคมวิทยาและมนุษยวิทยาแก่สมเด็จพระราชินี เจตซุน เพมา วังชุก ในฐานะที่ทรงเป็นนักพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน ทรงมีพระปรีชาญาณ พระเมตตาและพระวิสัยทัศน์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวภูฏานทั้งในด้านสุขภาวะ ความเสมอภาค การอนุรักษ์และการพัฒนาและนำพาประเทศไปสู่ความเป็นสมัยใหม่
ไทยและภูฏาน มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ มาตั้งแต่วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๒ นับจนถึงวันนี้ก็เป็นระยะเวลา ๓๖ ปี ความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมนั้นไม่ได้มีแต่เฉพาะในส่วนของรัฐบาลเท่านั้น แต่ในส่วนของพระราชวงศ์ของทั้งสองประเทศนั้น เป็นความสัมพันธ์ที่มีความผูกพันอย่างลึกซึ้งเป็นที่สุด
การเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์ไทยโดยสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีในพิธีซึ่งถือว่ามีความสำคัญนี้ จึงนับได้ว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงใส่พระทัย และให้ความสำคัญต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติอื่น และพระราชประวัติของพระมหากษัตริย์ของชาตินั้นๆ
เกียรติประวัติของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตหลายพระองค์ได้ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์มากมาย แต่หากจะนับถึงเกียรติประวัติของพระมหากษัตริย์ที่ต้องถือว่าสำคัญยิ่ง ที่ทำให้ราชอาณาจักรจักรสยามธำรงอยู่ได้จนถึงปัจจุบันนี้ที่จะต้องถูกกล่าวถึงนั้นมีอยู่ ๓ พระองค์
ในปี พ.ศ.๒๑๑๒ อาณาจักรอยุธยาในรัชสมัยของสมเด็จพระมหินทราธิราช ต้องเสียอิสรภาพให้กับอาณาจักรหงสาวดีในรัชสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง ราชวงศ์ของกรุงศรีอยุธยาถูกกวาดต้อนพร้อมกับราษฎรจำนวนหนึ่งไปยังอาณาจักรหงสาวดี ซึ่งในจำนวนนั้นมีพระนเรศวรซึ่งมีพระชนมายุเพียง ๕ พรรษาเศษ และพระนางสุพรรณกัลยาผู้เป็นพระเชษฐภคินีได้ถูกนำตัวไปชุบเลี้ยงด้วย จนกระทั่งพระนเรศวรมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา ได้ทูลขอกษัตริย์หงสาวดีเพื่อเสด็จกลับมายังกรุงศรีอยุธยา ซึ่งก็ทรงได้รับอนุญาต
เมื่อเสด็จกลับมาแล้วพระองค์ก็ได้ช่วยทำนุบำรุงบ้านเมือง รวมทั้งสร้างกองทัพให้มีความเข้มแข็ง โดยกรุงศรีอยุธยายังคงต้องส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวาย กษัตริย์หงสาวดีโดยตลอด
หลังจากที่พระเจ้าบุเรงนองสวรรคต พระเจ้านันทบุเรงพระราชโอรสเริ่มไม่ไว้วางพระทัยพระนเรศวรที่เข้มแข็งมากขึ้น จึงวางแผนกำจัดพระนเรศวรโดยให้ยกทัพไปช่วยรบกับเมืองอังวะที่ก่อการกบฏ แต่พระองค์ทราบว่าจะถูกลอบปลงพระชนม์จึงยกทัพกลับ หงสาวดีได้ให้สุรกรรมามายกทัพติดตามจนเกือบจะทันที่ฝั่งแม่น้ำสะโตง พระนเรศวรได้เสด็จข้ามมาก่อน และได้ใช้พระแสงปืนยิงข้ามแม่น้ำถูกแม่ทัพพม่าเสียชีวิต ซึ่งต่อมาพระแสงปืนดังกล่าวได้รับการขนานนามว่าพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง
พระนเรศวรทรงยกทัพกลับ พร้อมนำชาวกรุงศรีอยุธยาที่พลัดถิ่นกลับมาด้วย จนถึงเมืองแครง พระองค์จึงจัดทำพิธีหลั่งน้ำทักษิโณทกประกาศอิสรภาพ ไม่ขึ้นกับกรุงหงสาวดีอีกต่อไปในปี พ.ศ.๒๑๒๗ พระนเรศวรจึงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่กู้ชาติไทยได้
กษัตริย์พระองค์ที่ ๒ ที่กู้ชาติได้เช่นกันคือสมเด็จพระเจ้าตากสิน โดยอาณาจักรอยุธยาได้เสียอิสรภาพให้กับอาณาจักรหงสาวดีในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๓๑๐ โดยพระเจ้ามังระได้ให้เนเมียวสีหบดียกทัพมาจากทางเหนือและมังมหานรธายกมาทางทิศตะวันตก ได้เข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่เป็นเวลานาน ถึงแม้พระเจ้าเอกทัศน์พระมหากษัตริย์องค์ที่ ๓๓ จะได้กระทำการต่อสู้อย่างเต็มที่ก็ไม่สามารถจะต่อสู้ได้ โดยก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตก พระเจ้าตากซึ่งขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นพระยาวชิรปราการ ได้รับมอบหมายให้ตั้งค่ายต่อสู้กับพม่าอยู่ที่วัดพิชัย ได้เห็นแล้วว่ากรุงศรีอยุธยาจะต้องพ่ายแพ้แน่ จึงยกพลจำนวนประมาณ ๕๐๐ คน ส่วนหนึ่งเป็นทหารม้าหนีออกจากค่ายพิชัย โดยมุ่งหมายที่จะไปรวบรวมไพร่พลเพื่อกลับมาต่อสู้กับพม่า
พระเจ้าตากและไพร่พลที่ติดตามไปได้ยกเข้าตีหัวเมืองรายทาง รวบรวมไพร่พลตั้งแต่นครนายก แปดริ้ว ชลบุรี ระยอง จนในที่สุด สามารถเข้าตีเมืองจันทบุรีจนแตกได้ จึงได้ปักหลักเพื่อรวบรวมไพร่พลได้ประมาณ ๕,๐๐๐ นาย และต่อเรือรบจำนวนประมาณ ๑๐๐ ลำ รวมทั้งยึดเรือสำเภาจีนที่มาค้าขายอยู่แถวเมืองตราดเป็นกองทัพเรือ รอจนกระทั่งพ้นฤดูมรสุม จึงยกทัพเข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยา เข้าตีค่ายพม่าที่กรุงธนบุรีจนได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็ว และยกทัพเรือต่อขึ้นไปตีค่ายโพธิ์สามต้นที่พม่าให้สุกี้พระนายกองรักษาค่ายและดูแลกรุงศรีอยุธยาไว้จนค่ายพม่าแตก แม่ทัพพม่าเสียชีวิตในที่รบ พระองค์จึงได้ประกาศอิสรภาพ ซึ่งตรงกับวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๑๐ นับเป็นเวลาเพียง ๗ เดือน หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาแตก
พระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งที่มิอาจจะไม่กล่าวถึงได้คือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ที่ขึ้นครองราชย์ในช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามาล่า อาณานิคม สามารถเข้ายึดเวียดนาม เขมร และลาวไว้ได้ทั้งหมดแล้ว แต่ยังไม่สามารถจะยึดประเทศไทยได้
ฝรั่งเศสได้อ้างว่าไทยรุกรานดินแดนลาวที่ฝรั่งเศสครอบครองอยู่ โดยยกกองเรือเข้าอ่าวไทยผ่านมาสู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา เกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒มีการสู้รบกันของเรือรบทั้งสองฝ่ายจนเกิดความเสียหายเป็นเหตุที่ทำให้ฝรั่งเศสเรียกร้องให้สยามต้องชดใช้ความเสียหายเป็นเงินจำนวน ๓ ล้านฟรังก์ ถ้าไม่เช่นนั้นจะปิดปากอ่าวและแสดงท่าทีว่าจะเข้ายึดกรุงเทพฯ ทำให้พระองค์ต้องนำเงินถุงแดงที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้ารัชกาลที่ ๓ ได้สะสมไว้มาชดเชยความเสียหาย
แต่กระนั้นฝรั่งเศสก็ยังแสดงอำนาจโดยบุกเข้ายึดจันทบุรีและตราด จนในที่สุดสยามต้องยอมแลก ๒ จังหวัดนี้กับเมืองเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ ซึ่งปัจจุบันนี้เขมรเป็นผู้ครอบครอง แต่ก็ทำให้พระองค์สามารถรักษาอิสรภาพของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ไว้ได้
นอกจากพระมหากษัตริย์ทั้ง ๓ พระองค์แล้ว ในพระราชดำรัสของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีก็ยังทรงยกย่องพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ เป็นอย่างมาก ที่ได้สานต่อพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ที่ทรงเป็นแบบอย่างในการนำมาใช้บริหารและปกครองอาณาจักรภูฏาน
ในส่วนหนึ่งของพระราชดำรัสนั้น สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีมีทรงกล่าวว่า “เมื่อข้าพเจ้าขึ้นครองราชย์นั้น ข้าพเจ้าโชคดีที่มีบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ๒ ท่านคอยชี้นำ ท่านแรกคือพระบิดาของข้าพเจ้า อีกท่านหนึ่งคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ที่ได้รับการขนานนามว่ากษัตริย์นักพัฒนา ทรงเป็นต้นแบบของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนแก่โลก ทรงเป็นกษัตริย์ที่ได้รับการเคารพสูงสุดในโลก” ซึ่งทำให้พระองค์เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงการปกครองที่ทำให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข พระองค์ได้กล่าวในตอนท้ายว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ที่ได้มีพระบิดา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙เป็นครูของข้าพเจ้า”
แม้แต่พระมหากษัตริย์จากต่างแดนยังยกย่องเทิดทูนพระมหากษัตริย์ไทย ฉะนั้นใครผู้ใดที่เกิดบนผืนแผ่นดินไทย หากไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่ได้ทรงสร้างชาติมา ตลอดจนไม่ให้ความเทิดทูน เคารพยกย่อง และยังมีพฤติกรรมในลักษณะดูหมิ่นดูแคลน ตลอดจนมีความพยายามในการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อลดบทบาทของพระมหากษัตริย์นั้น น่าจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่เนรคุณต่อแผ่นดิน
ปิยะ เนตรวิเชียร

พรรคอนาคตไทย พร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง จับได้เบอร์ 15 ลั่นคนไทยส่วนรวมต้องมาก่อน ชูทำจริง ไม่ทิ้งพื้นที่
ปิดด่านชายแดนพ่นพิษ กัมพูชาเผยยอดนำเข้าจากไทยวูบ ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว
อดีตนักฟุตบอลไทย พลิกบทบาท เป็น ทหารรับใช้ชาติ ช่วยยึดเนิน 350 คืนจากกัมพูชา
จีนเปิดชื่อ 4 นักบินอวกาศหนู ร่วมภารกิจเสินโจว-21 แต่ละชื่อความหมายดีมาก
เช็คเลยมีใครบ้าง! เปิดรายชื่อ แคนดิเดตนายกฯ 73 คน จาก 34 พรรคการเมือง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี