รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา มักมีคำศัพท์ใหม่ๆ มานำเสนอเป็นระยะๆ
ระยะแรกๆ ก็มีคำว่า “ประชารัฐ” ซึ่งเป็นคำสมาส แปลให้ถูกต้องตามหลักภาษา ต้องแปลว่า “รัฐของประชาชน”
แต่เอาเถอะ รัฐบาลอยากแปลคำนี้ว่า คือการผนึกกำลังร่วมมือกันระหว่างภาคราชการ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน ก็ไม่ว่ากัน
ต่อมาเมื่อ “ประชารัฐ” ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่ต่างอะไรมากนักกับ “ประชานิยม” ในระบอบทักษิณ หนำซ้ำยังมีส่วนเกื้อหนุนทุนผูกขาดขนาดใหญ่เสียไม่น้อย “ประชารัฐ” จึงค่อยๆ ซาลง พร้อมกับคำใหม่ “ประเทศไทย 4.0” ได้ก้าวเข้ามาแทน
สังคมได้ยินคำว่า “ประเทศไทย 4.0” หรือ “ไทยแลนด์ 4.0” อยู่นานทีเดียว ก่อนที่ปัจจุบัน จะมีคำใหม่เอี่ยมล่าสุดขึ้นมาอีกคำคือ “ไทยนิยม”
วันนี้ขอย้อนกลับไปพูดถึง “ประเทศไทย 4.0”
ประชาชนไทยได้ยินคำว่า “ประเทศไทย 4.0” ครั้งแรกในช่วงปี พ.ศ. 2559 และจากนั้นก็ได้ยินคนในคณะรัฐบาลและทีมงานพูดถึงคำนี้มาตลอด จนกระทั่งปัจจุบัน หน่วยงานไหนจะขับเคลื่อนโครงการอะไร ก็ต้องลงท้ายคำว่า “4.0” ไม่ว่าจะมีความเข้าใจต่อคำคำนี้แค่ไหนหรือไม่ก็ตาม เพราะอย่างน้อยก็ทำให้สบายใจได้ว่า หน่วยงานของตนไม่ตกขบวน
“ประเทศไทย 4.0” มาจากไหน ?
แน่นอน ไม่ได้มาจากการคิดค้นได้เองของทีมเศรษฐกิจรัฐบาล แต่มาจากคำว่า “อุตสาหกรรม 4.0” หรือ “Industrie 4.0” ในภาษาเยอรมัน ซึ่งเป็นคำที่บรรจุอยู่ใน German Standardization Roadmap Industrie 4.0 (Version 2) ที่ประกาศออกมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 ภายหลังจากที่แนวความคิดและการใช้คำว่า “Industrie 4.0” ของเยอรมนีจะเคยประกาศเป็นวาระแห่งชาติมาแล้ว 2-3 ปี
การที่เยอรมนี เรียกอุตสาหกรรมยุคใหม่ว่า 4.0 นั้น มีที่มาสืบเนื่องจากการแบ่งยุคอุตสาหกรรมของโลกในอดีตที่ใช้การพัฒนาพลังการผลิตเป็นเส้นแบ่ง
โดยเริ่มจาก 0.0 ยุคหัตถกรรมโรงงาน ที่เจ้าของโรงหัตถกรรมกับช่างฝีมือเข้ามาแทนที่นายช่างในสมาคมอาชีพกับลูกมือในปลายสังคมยุคศักดินา
1.0 ยุคแห่งการผลิตด้วยเครื่องจักรกลแทนการผลิตที่พึ่งพาแรงงานคนและสัตว์เป็นหลัก ยุคนี้เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก ที่นำไปสู่การสร้างรถไฟและเครื่องจักรในโรงงาน
2.0 คือยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 ซึ่งมีการคิดค้นมอเตอร์ไฟฟ้าและพลังงานไฟฟ้า เพื่อใช้ทดแทนเครื่องจักรไอน้ำ
มาจนถึง 3.0 คือยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 ในช่วงปี ค.ศ. 1960 อันเป็นยุคเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์ มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาควบคุมการทำงานของเครื่องจักรในการผลิต ทำให้กระบวนการผลิตทุกอย่างเริ่มอัตโนมัติมากขึ้น
สำหรับ 4.0 นั้น คือยุคแห่งการควบรวมเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ากับการผลิต มีการนำเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเข้ามาเชื่อมโยงข้อมูลการผลิตระหว่างเครื่องจักรรวมทั้งหน่วยการผลิตทุกหน่วยเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ นำมาสู่การมีประสิทธิภาพที่ใช้แรงงานมนุษย์น้อยลง เป็นยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4
อย่างไรก็ดี เพื่อจะเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของอุตสาหกรรม 4.0 เราจำเป็นต้องเข้าใจความจริงหรือธาตุแท้ของระบอบทุนนิยมให้ได้ว่า โดยตัวระบอบของมันเองแล้ว ความขัดแย้งระหว่างพลังการผลิตที่ก้าวหน้าและพัฒนาไปกับความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ล้าหลังอยู่กับที่หรือความสัมพันธ์ในการแบ่งปันที่ไม่เป็นธรรมระหว่างคนกับคนที่อยู่ในกระบวนการผลิตซึ่งดำรงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ระบอบทุนนิยมเกิดภาวะวิกฤติและจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของตัวมันเองตลอดเวลาเช่นกัน
อุตสาหกรรม 4.0 ก็เช่นกัน มันเป็นผลพวงของความพยายามในการปรับตัวหรือปฏิวัติตัวมันเองของระบอบทุนนิยมโลกให้ก้าวพ้นวิกฤติที่ตัวมันเองสร้างขึ้น เพราะหากไม่ทำเช่นนั้น ตัวมันเองก็จะดำรงอยู่ต่อไปไม่ได้
ความพยายามที่จะปฏิวัติเครื่องมือการผลิตให้ก้าวผ่านจากระบบอัตโนมัติในยุค 3.0 มาเป็นการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงข้อมูลการผลิตระหว่างเครื่องจักรในยุค 4.0 เกิดจากวิกฤติการณ์การหดตัวลงของภาคอุตสาหกรรมในสหภาพยุโรป อันมีผลมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมการผลิตในภูมิภาคอื่นๆ ของโลกโดยเฉพาะประเทศจีน การย้ายฐานการผลิตที่ต้องอาศัยแรงงานจำนวนมากไปยังประเทศที่มีค่าแรงต่ำกว่า และการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่มูลค่าในระดับโลกที่ผู้ผลิตวัตถุดิบสำหรับการผลิตไม่ได้อยู่ในสหภาพยุโรป คณะกรรมาธิการยุโรปเชื่อว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคอุตสาหกรรมอัจฉริยะ หรือ อุตสาหกรรม 4.0 จะสามารถกระตุ้นประสิทธิภาพการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มของภาคอุตสาหกรรมในยุโรปซึ่งจะส่งผลต่อการกระตุ้นทางเศรษฐกิจให้ก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปได้
อุตสาหกรรม 4.0 จึงถือเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่จะช่วยให้ระบอบทุนนิยมโลกทั้งระบอบ ซึ่งก่อนอื่นคือเศรษฐกิจทุนนิยมในยุโรปก้าวผ่านวิกฤติและอยู่ต่อไปได้ จากนี้เมื่อกระบวนการผลิตเกือบทั้งหมดเป็นระบบอัตโนมัติที่เชื่อมต่อถึงกันหมดทั้งโลก บรรดาทุนข้ามชาติในประเทศทุนนิยมชั้นนำทั้งหลายก็ไม่จำเป็นต้องไปตั้งโรงงานในต่างประเทศไกลๆ ที่มีค่าจ้างแรงงานถูก แต่มีค่าขนส่งสูง อีกต่อไป บริษัทข้ามชาติในทวีปยุโรปสามารถนำฐานการผลิตกลับมาตั้งในทวีปยุโรปอีกครั้งหนึ่ง หรือสร้างโรงงานใหม่ในยุโรปแทนที่การสร้างโรงงานในต่างประเทศ ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง มูลค่าส่วนเกินเพิ่มมากขึ้น นี่คือจุดมุ่งหมายอีกข้อหนึ่งที่การปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 คาดหวังไว้
ไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรเลยที่การปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 จะทำเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ซึ่งปัจจุบันกลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 1% สามารถครอบครองความมั่งคั่งที่ทั่วโลกสร้างขึ้นในปี 2017 ถึง 82% (รายงาน Global Wealth Report 2017 ของ Credit Suisse ที่ Oxfam International นำมาเปิดเผย)
ยิ่งไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรเลยในการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ที่จะทำเพื่อแก้ปัญหาปากท้องและปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเล็กประเทศน้อยทั้งหลายที่ตกเป็นเบี้ยล่างและถูกเอารัดเอาเปรียบ
ระบอบทุนนิยมและการปฏิวัติพลังการผลิตของมัน มิได้เกิดขึ้นเพื่อรับผิดชอบในสิ่งเหล่านี้ !
ปัจจุบัน นอกจากเยอรมนีจะพยายามผลักดันการปฏิวัติอุตสาหกรรมให้ก้าวเข้าสู่ยุคที่ 4 หรือที่เรียกว่า อุตสาหกรรม 4.0 แล้ว ในประเทศผู้นำของระบอบทุนนิยมอีกหลายประเทศต่างก็พยายามพัฒนาอุตสาหกรรมของตนไปในทิศทางเดียวกัน แม้จะเรียกชื่อแตกต่างกัน เป็นต้นว่า สหรัฐอเมริกา เรียกของตนว่า Smart Manufacturing สหภาพยุโรป เรียก Factories of the Future (FoF) ญี่ปุ่น เรียก Industrial Value Chain Initiatives (IVI) ไม่เว้นแม้ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์แต่พัฒนาเศรษฐกิจด้วยกลไกในระบอบทุนนิยมอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็ยังต้องประกาศแผนพัฒนากระบวนการผลิตที่มีชื่อว่า Made in China 2025 ออกมา ทั้งประกาศชัดว่าจะต้องเป็นผู้นำในกลุ่มประเทศผู้ผลิตผู้ทรงอำนาจให้ได้ภายใน 30 ปี
การปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 จึงนอกจากเป็นการต่อสู้เพื่อให้ระบอบทุนนิยมพ้นจากภาวะวิกฤติแล้ว ยังเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นเจ้าในหมู่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกอีกด้วย
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางภาวะที่กลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเพียง 1% ครอบครองความมั่งคั่งกว่า 80% ของโลก ในขณะที่กลุ่มคนที่อยู่ครึ่งล่างของพีระมิดยังครองความมั่งคั่งไม่ถึง 1% ของสินทรัพย์ทั่วโลก
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ลงมือแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เสมอภาคอย่างจริงจัง ในขณะที่รัฐบาลและกลุ่มนายทุนน้อยคนนักที่จะลงมือทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวนี้อย่างจริงใจ
เช่นนี้แล้ว ประเทศไทยเรายังจะเดินตามก้นเขาต๊อกๆ ยังจะให้เขาลากจูงไปอย่างเซื่องๆ และยังจะพยายามเต้นรำตามจังหวะดนตรีที่ทุนนิยมโลกบรรเลงให้เต้นอยู่อีกหรือ ?
ประเทศไทยเรา ยังจะหลงไหลได้ปลื้มกับการขับเคลื่อนประเทศเข้าไปเป็นกลไกหนึ่งของการรับใช้การปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 รับใช้นโยบายครอบงำเศรษฐกิจโลกของเหล่าประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอยู่อีกหรือ ?
รัฐบาลและทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล พยายามโหมกระแส 4.0 อย่างสุดตัว โดยอ้างว่าประเทศเรายังติดอยู่ใน “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” จึงไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปได้ และเพื่อก้าวผ่าน “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” ก็มีแต่จะต้องผลักดันประเทศเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ที่ใช้ดิจิทอลเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน
เพื่อให้พ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ตามเกณฑ์ที่ธนาคารโลกกำหนด ประเทศไทยต้องมีรายได้ต่อหัวสูงกว่า 12,235 ดอลลาร์ สรอ. ต่อปี หรือประมาณ 32,170 บาท ต่อเดือน แต่ปัจจุบัน ตัวเลขปี 2559 รายได้ต่อหัวของไทยยังอยู่แค่ 5,640 ดอลลาร์ สรอ. ต่อปี หรือประมาณ 14,830 บาท ต่อเดือน ห่างไกลกันกว่าเท่าตัว นโยบาย “ประเทศไทย 4.0” จะทำได้หรือ ? ไม่ต้องพูดถึงเสียงบ่นจากบุคคลที่ช่วยงานรัฐบาลบางคน ที่แสดงความกังวลว่า นโยบาย 4.0 มีหลายเรื่องที่ยังขาดรายละเอียดที่เป็นรูปธรรม
ที่แย่กว่านี้คือ แม้จะสามารถทำให้ประเทศพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง (ซึ่งยากจะเป็นไปได้ในเร็ววัน) ก็ไม่ได้หมายความว่า ประเทศไทยจะหลุดพ้นจากกับดักความเหลื่อมล้ำ ตราบใดที่นโยบายรัฐบาลยังคงเกื้อหนุนทุนผูกขาดขนาดใหญ่ เกรงอกเกรงใจคนมีเงิน และไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับระบบผูกขาดตัดตอนที่ครอบงำประเทศชาติอยู่ในเวลานี้
“รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2558” ของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักพัฒนาฐานข้อมูลและตัวชี้วัดภาวะสังคม ระบุว่า
ความแตกต่างของรายได้ ระหว่างกลุ่มคนรวยที่สุดและกลุ่มคนจนที่สุดในประเทศ ยังสูงถึง 22.1 เท่า
สัดส่วนการถือครองที่ดินของทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ในกลุ่มผู้ถือครองที่ดินร้อยละ 10 ที่มีการถือครองที่ดินมากที่สุด ต่อกลุ่มผู้ถือครองที่ดินร้อยละ 10 ที่มีการถือครองที่ดินน้อยที่สุด คิดเป็น 853.64 เท่า โดยกลุ่มผู้ถือครองที่ดินร้อยละ 10 ที่มีการถือครองที่ดินมากที่สุด มีส่วนแบ่งการถือครองที่ดินร้อยละ 61.48 สูงกว่าผู้ถือครองที่ดินอีกร้อยละ 90 ที่เหลือ ซึ่งมีส่วนแบ่งการถือครองที่ดินเพียงร้อยละ 38.52
และเมื่อมาดูสินทรัพย์ทางการเงิน ก็ยังปรากฏว่ามีการกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนจำนวนน้อย คือบัญชีเงินฝากที่มีวงเงินเกิน 10 ล้านบาทขึ้นไปมีเพียง 111,517 บัญชี หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 0.1 ของจำนวนบัญชีทั้งหมด แต่มีวงเงินฝากสูงถึงร้อยละ 49.2 ของวงเงินฝากทั้งหมด ในขณะที่บัญชีเงินฝากขนาดเล็กวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาทมีจำนวน 84 ล้านบัญชีหรือคิดเป็นร้อยละ 99.9 ของ จำนวนบัญชีทั้งหมด แต่มีวงเงินฝากเพียงร้อยละ 50.8 ของวงเงินฝากทั้งหมด
การพัฒนาประเทศเพื่อให้ก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางด้วยการผลักดันประเทศเข้าไปในวงจรของทุนนิยม 4.0 จึงหาได้ตอบโจทย์อะไรไม่ว่าประเทศไทยจะดีขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจของคนในประเทศไทยจะลดลง ตรงกันข้ามอาจมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ นี่ยังไม่ได้พูดถึงความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษา สาธารณสุข และกระบวนการยุติธรรม
และยังไม่ได้พูดถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ที่ในยุครัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นอย่างไร ในยุครัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจก็เป็นอย่างนั้น แตะไปที่ไหน ก็จะเจอการโกงกินอยู่ที่นั่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกับดักในการพัฒนาประเทศที่เลวร้ายและร้ายแรงเสียยิ่งกว่ากับดักรายได้ปานกลางเป็นไหนๆ
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษาร้อยชักสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี