ไม่ว่าเราจะบ่นกันว่าเศรษฐกิจตกต่ำ ฝืดเคือง การค้าขายเงียบเหงา และไปสรุปที่รัฐบาลว่าแก้ปัญหาหาเศรษฐกิจไม่เอาไหน หรืออะไรก็ตาม แต่ภาพรวมของการดำเนินชีวิตนั้นดีขึ้น ดีขึ้นกว่าคนรุ่นพ่อแม่เราขึ้นไปมากมายนัก
เรามีสินค้าทั้งสำหรับกินและใช้สอยมากมายนัก ทั้งจำเป็นและเกินจำเป็น ระบบสาธารณูปโภคก็อวยความสะดวกแก่เราจนไม่ต้องไปหิ้วน้ำจากบ่อมากิน ไม่ต้องจุดตะเกียงที่แสงสว่างรางเลือน แถมเหม็นกลิ่นน้ำมันก๊าดอีก
เรามีเทคโนโลยีสารพัดอย่างอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน งานหนักกลายเป็นงานเบา ปัจจัย4 ก็มีล้านเหลือในตลาด อยู่ที่ว่าใครจะมีเงินซื้อหรือไม่ ในยุคนี้ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะอยู่แค่มือเอื้อมเท่านั้น
ยิ่งเป็นคนชั้นกลางก็ยิ่งมีสิ่งอำนายความสะดวกแก่ตนมากขึ้น มากกว่าคนชั้นล่าง จำนวนคนชั้นกลางก็มีมากขึ้น เป็นผลจากการพัฒนาเศรษฐกิจในระบบทุนนิยม...ที่แม้จะไม่เท่าเทียม แต่ก็ไม่มีระบบใดที่ดีกว่านี้
คนชั้นกลางนั้นถือได้ว่ามีชีวิตที่ “อยู่ดีมีสุข” แม้บางส่วนจะต้องทำงานหนักก็ตาม
เพราะชีวิตที่อยู่ดีมีสุขนี่แหละที่เป็น “จุดอ่อน” ให้แก่ลูกหลานของตน
พ่อแม่ยุคใหม่นี้พยายามที่จะให้ลูกหลานสุขสบาย จึงยอมทำงานหนัก บ้างก็ถึงกับคดโกง โดยไม่ยอมให้ลูกหลานทำอะไรเลย มีหน้าที่อย่างเดียวคือเรียนให้เก่งที่สุด
พ่อแม่หลายคนก็เห็นว่า การทำงานหนักและใช้แรงงานเป็นเรื่องน่ารังเกียจ จึงไม่ยอมให้ลูกหลานทำงาน...แม้กระทั่งงานบ้าน ในโรงเรียนก็เหมือนกัน เด็กมีหน้าที่เรียน ไม่ยอมให้ทำงานอะไร ตอนคนรุ่นผมเป็นนักเรียนนั้นต้องล้างส้วม ทำความสะอาดห้องเรียน เก็บขยะ และอีกสารพัดอย่างเพื่อให้โรงเรียนสะอาดเป็นที่น่าอยู่น่าเรียนของทุกคน มาถึงยุคปัจจุบันก็คงจะมีบ้างตามโรงเรียนในชนบท
เพราะพ่อแม่ไม่ชอบให้ลูกทำงาน “ต่ำๆ” อย่างนั้น แม้กระทั่งชาวบ้านทั่วไปก็ไม่ชอบ!
ทุกคนพยายาม “อัพเกรด” ลูกและฐานะของตนให้ดูสูงส่งขึ้น จนลูกหลานกลายเป็น “คุณหนู” กันไปเกือบทั้งประเทศแล้ว?
ทั้งหมดนั้นส่งผลให้ลูกหลานมีปัญหาอย่างน้อยก็ 3 เรื่องด้วยกัน คือ
1 หยิบหย่ง สำรวย สำอาง ทำอะไรไม่เป็น และกลายเป็นคนดูถูกการทำงานที่ใช้แรงงาน พวกเขามักโอ้อวดความสุขสบายกัน วันหยุดพ่อแม่พาไปเที่ยว ไปกินอะไรที่ไหน ไปเล่นอะไร ซื้ออะไรหรูๆแพงๆ เด็กเหล่านี้จึงกลายเป็นคนอ่อนแอทางสติปัญญา แม้เรียนเก่งอย่างไรก็อ่อนแอ เพราะการเรียนเก่งไม่ได้เกี่ยวกับสติปัญญามากนัก แต่การมีสติปัญญาต่างหากที่ทำให้เรียนเก่ง หรือมีสติปัญญาก็ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง (ความหมายของ “ปัญญา” มันมั่วไปหมด)
2 ทำอะไรไม่เป็น กลายเป็นคนที่ชอบบริโภคแต่ผลิตไม่เป็น เอาเงินซื้ออย่างเดียว
3 ความจำสั้น สมาธิสั้น เป็นผลมาจากการเสพสื่อที่รวดเร็ว ฉับไว สุดท้ายก็รู้และเข้าใจเรื่องราวต่างๆอย่างผิวเผินและตื้นเขิน...เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาเช่นกัน (สติ = การรู้ตัว รู้สึกตัว , ปัญญา = การรู้แจ้ง รู้จริง การหยั่งรู้ และรู้ในระดับปรมัตถสัจจะ)
แค่ 3 เรื่องนี้ก็สร้างปัญหาให้แก่เด็กและสังคมมหาศาลแล้ว มันเป็นปัญหาที่เต้นเร่าอยู่เบื้องหน้าเราทุกคน แต่เราไม่สนใจมัน เมื่อไม่สนใจก็ไม่เห็น เมื่อไม่เห็นก็คิดว่าไม่มี
เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?
คำตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ พ่อแม่ต้องเปลี่ยนทัศนคติเป็นตรงกันข้ามอย่างที่ผมเขียนข้างบน ครู – อาจารย์ หรือสถาบันการศึกษาก็ต้องเปลี่ยนด้วย แต่ก็คงยาก เพราะครู – อาจารย์ หรือสถาบันการศึกษาก็มีทัศนคติอย่างเดียวกับผู้ปกครอง
มีคนพูดเรื่องนี้กันมามาก และนานหลายสิบปีแล้ว ก่อนที่จะมีเทคโนโลยีอย่างทุกวันนี้ เพราะธรรมชาติของคน “เป็นเช่นนั้น” คือไหลไปตามกระแสของกิเลสตัณหา ซึ่งเราต่างก็ช่วยทำให้มันไหลแรงขึ้นทุกวัน และดูเหมือนเราก็สนุกที่ได้ไหลไปตามมัน ไม่เพียงเท่านั้น เรายังยินดีผลักลูกของเราให้ตกลงไปในกระแสนั้นความภาคภูมิใจอีกด้วย
ในวันนี้ผมได้แต่บอกตัวเองว่า “อะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิด” (แม้จะยังห่วงอยู่ก็ตาม)
เพราะเราอยู่ในยุคประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นใหญ่ ใครอยากทำอะไรก็ทำ หรือพูดอีกแบบก็คือ เราอยู่ในยุคที่ “กิเลสตัณหาเป็นใหญ่”
“สังคมอุดมปัญญา” ที่ใครก็ไม่รู้เคยประกาศวิสัยทัศน์เอาไว้เมื่อ 20 ปีมาแล้ว และก็มีนักการศึกษา รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองเห็นว่าสังคมของเรากำลังเป็นอย่างนั้น
เรากำลังจะบรรลุถึงสังคมอุดมปัญญา
ไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่ ก็ขอให้ลองอ่านความหมายของคำว่า “ปัญญา” ด้วย ว่าความจริงแล้วปัญญานั้นเป็นอย่างไร?
เราจะได้รู้จริงว่า จะพัฒนาศักยภาพของลูกหลานเราอย่างไร แบบไหน จึงจะบรรลุถึงปัญญาหรือศักยภาพแห่งความเป็นมนุษย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี