วันก่อนนั่งคุยกับเพื่อนๆ ถึงอนาคตประเทศไทยหลังการเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นในปี พ.ศ. 2562 ข้อสรุปที่ตรงกันอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเช่นไร ไม่ว่ากลุ่มการเมืองที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์จะชนะด้วยยุทธวิธีดูดแบบไม่เลือก หรือกลุ่มการเมืองในอาณัติของทักษิณจะชนะด้วยยุทธวิธีดาวกระจาย แยกกันตั้งพรรคตั้งกลุ่ม การเมืองประเทศไทยก็จะยังย่ำอยู่กับที่ไม่พัฒนาไปถึงไหน ตลาดหุ้นอาจกระเตื้องขึ้นตามประสาคนที่ตกใจง่ายและดีใจเร็ว
ที่พอจะมีสีสันหน่อยก็พรรคของคนรุ่นใหม่ แต่จะมีโอกาสเข้ามานั่งในสภาและทำได้อย่างที่พูดมากน้อยแค่ไหน ก็ยังไม่มีใครรู้
ที่รู้และที่หลายคนมั่นใจกัน คือการเมืองหลังการเลือกตั้ง คงไม่ราบรื่นและไม่ยังประโยชน์โภคผลอะไรกับบ้านเมืองและประชาชนมากนัก ไม่มากเหมือนการกู่ก้องร้องเรียกให้มีการเลือกตั้งในเร็ววัน
เพราะเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง ภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หากพรรคพลังประชารัฐชนะ จะมีปัญญานำพาประเทศชาติให้ดีขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อสี่ปีที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มีความมุ่งมั่น ยังทำได้ไม่ถึงไหน ไม่ว่าจะในทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง
ในทางเศรษฐกิจ โฆษณาแต่ความเติบโตของตัวเลขทางเศรษฐกิจแบบมหภาค ซึ่งเป็นความร่ำรวยมั่งคั่งที่กระจุกอยู่ในกลุ่มทุนขนาดใหญ่ของประเทศ โดยไม่ค่อยพูดถึงตัวเลขแบบจุลภาค ที่ยังสะท้อนถึงความยากจนและช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน
ในทางสังคม พรรคพวกเพื่อนพ้องคนรอบตัวที่มัวหมองแปดเปื้อนปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ก็ยังคาราคาซัง ให้คำตอบอะไรกับสังคมไม่ได้
ในทางการเมือง เรื่องที่จะปฏิรูปการเมือง จะป้องกันนักการเมืองเลวไม่ให้มีโอกาสกลับคืนสู่อำนาจ ก็กลับตาลปัตรมาทำหน้าที่ดูดเศษสวะสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นให้กลับเข้าสู่อำนาจทางการเมืองเสียเอง
เช่นนี้แล้ว จะฝากความหวังอะไรกับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์หลังการเลือกตั้ง
ในทางกลับกัน หากพรรคการเมืองในอาณัติของทักษิณชนะ การเมืองก็คงวุ่นวายต่อไป ทักษิณก็คงหาทางให้ตนกับน้องสาวกลับมาประเทศโดยไม่ต้องรับโทษเหมือนเดิม เรื่องคอร์รัปชันโกงกินนั้น ไม่ต้องพูดถึง เป็นพันธกิจของพวกนี้อยู่แล้ว
พูดถึงตอนนี้แล้ว พรรคพวกเพื่อนฝูงของผม ก็เห็นตรงกันว่า ถ้าหลังเลือกตั้งแล้วบ้านเมืองเป็นเช่นว่านี้ หน้าที่ของเราก็ต้องสู้กับมันต่อไป
เป็นนักเขียน ก็เขียนด่ามันต่อไป ว่างั้นเถอะ
ผมเห็นด้วย เพราะนักเขียนมีแค่สมอง ปากกา และจุดยืนหรืออุดมการณ์เป็นอาวุธ
ตราบใดที่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเรา ยังไม่รังเกียจนักการเมืองที่โกงกิน คนโกงก็ยังออกมามีอำนาจได้ พ่อแม่มันโกงจนต้องหนีออกนอกประเทศไป หรือติดคุกติดตะรางไป ลูกหลานมันก็ยังออกมาเล่นการเมือง ลอยหน้าลอยตาได้
ตราบใดที่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเรา ยังไม่ปฏิเสธการรัฐประหารและการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร การยึดอำนาจและการสืบทอดอำนาจ รวมทั้งการข่มขู่รายวันว่าถ้าบ้านเมืองไม่สงบก็จะไม่มีการเลือกตั้งก็จะออกมาบ่อยๆ ทั้งๆ ที่ตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งก็ออกมาจนหมดแล้ว กำหนดการที่จะให้มีการเลือกตั้งก็ประมาณการกันออกมาแล้ว
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราได้ เพราะเรายังมีค่านิยมที่ยอมรับเผด็จการและการโกง ถ้าเรามีค่านิยมที่ปฏิเสธทั้งเผด็จการและการโกง สิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้
ในสหรัฐอเมริกา ในประเทศแถบยุโรป หรือ เอเชีย ที่การเมืองและค่านิยมทางการเมืองของประชาชนพัฒนาแล้ว นักการเมืองที่โกงกินจะอยู่ไม่ได้ และกองทัพก็ไม่เคยก่อรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาล
อยากให้การเมืองไทยเป็นแบบนี้ ก่อนอื่นเราจึงจำเป็นต้องสร้างและปลูกฝังค่านิยมที่ปฏิเสธทั้งเผด็จการและการโกงให้ซึมซ่านอยู่ในจิตวิญญาณของคนไทยให้ได้
ไม่เอาเผด็จการ ไม่เอาการโกง
สร้างและปลูกฝังค่านิยมนี้ในหมู่ประชาชน ทำให้เป็นค่านิยมแห่งชาติให้ได้ การเมืองไทยและประชาธิปไตยไทย ก็จะพัฒนาไปได้ วงจรอุบาทว์เก่าๆ ก็จะไม่หวนคืนมาอย่างแน่นอน
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษาร้อยชักสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี