ผมเคยเขียนไว้ตั้งแต่ คสช. โดยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อรัฐประหารผ่านไป 6 เดือนว่า การรัฐประหารของ คสช. ครั้งนั้น ถือเป็น “ความชั่วร้ายที่จำเป็น” (Necessary Evil) กล่าวคือ แม้ไม่ปรารถนา แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องยอมรับ และทำความเข้าใจในความจำเป็นที่มันต้องเกิด
ในห้วงเวลาดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ สาละวนอยู่กับการประชาสัมพันธ์นโยบายปรองดอง พยายามทำตัวเป็นกลาง และยังไม่ได้ลงมือจัดการอะไรเลยกับทักษิณและวงศ์วานว่านเครือที่ทุจริตคอร์รัปชัน จนถูกนักวิชาการและผู้รักชาติบ้านเมืองออกมาตั้งกลุ่มรณรงค์ให้ พล.อ. ประยุทธ์ รีบดำเนินการจัดการปัญหาที่เป็นสาเหตุและเป็นเหตุผลของการยึดอำนาจ
ในครั้งนั้น ผมเขียนว่า พล.อ. ประยุทธ์ กับ คสช. ต้องทำตนให้ชัดเจนในการแยกแยะระหว่างถูกกับผิด ดีกับชั่ว โกงกับไม่โกง จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขี้หงุดหงิด เรียกเด็กมาตีก้นคนละที แล้วบอกให้ปรองดอง แล้วลืมๆ กันไปไม่ได้
จำเนียรกาลผ่านไปอีก 1 ปี ผู้คนเริ่มพูดถึงการทุจริตคอร์รัปชันในที่ต่างๆ พูดถึงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ และพูดถึงการวางอำนาจบาตรใหญ่ของเจ้าหน้าที่ที่อ้างคำสั่ง คสช. ออกปฏิบัติการ ทั้งในเขตไกลปืนเที่ยง และในเขตใจกลางเมือง ไม่เว้นแม้ในตัวจังหวัดที่มีค่ายทหารอยู่เต็มไปหมด เวลานั้นแม้ในหมู่คนที่เชื่อมั่น พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีใครสักคนที่เชื่อว่า คนใส่เสื้อสีเขียวทุกคนจะไม่โกง?
ในครั้งนั้น ผมก็เขียนอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ควรรีบจัดการปัญหาภายในดังกล่าว ซึ่งเป็นเหมือนสนิมเหล็กที่พร้อมจะกัดกร่อนตัวเหล็กให้ผุพังได้ หาไม่แล้วเมื่อประชาชนอดทนต่อไปไม่ได้ ข้าราชการดีๆ ขาดขวัญกำลังใจในการทำงาน โอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. จะทำประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมืองก็จะไม่มีอีกต่อไป
ผ่านไปอีกเกือบ 2 ปี หรือหลังการรัฐประหารแล้วกว่า 3 ปี เสียงเพลง “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา... แผ่นดินจะดีในไม่ช้า ความสุขจะคืนมา..ประเทศไทย” ค่อยเลือนแว่วแผ่วหายไป
เพราะแผ่นดินที่งดงาม ความสุขที่เคยมี ดูจะยังห่างไกล และยังอีกนาน
และดูเหมือนจะนานเข้าไปอีก เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจเล่นการเมือง โดยประกาศหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2561 ว่า
"วันนี้ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะผมไม่ใช่ทหาร เข้าใจไหม เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร” !!!
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ยืนยันเสียงแข็งมาตลอดเวลากว่า 3 ปีว่า “ผมไม่ใช่นักการเมือง ผมเป็นนักการทหาร” !
การตัดสินใจเล่นการเมืองอย่างเต็มตัวนี้ ไม่เพียงแต่เป็นวิบากกรรมของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ยังเป็นวิบากกรรมของประเทศชาติและประชาชนอีกด้วย
เพราะทหารนั้นถูกฝึกมาสู้รบ เก่งในการจับอาวุธ ไม่ได้เก่งเรื่องการบริหารหรือการปกครองบ้านเมือง
เกือบ 5 ปีมานี้ ทั้งที่มีมาตรา 44 อยู่ในมือ พล.อ.ประยุทธ์ ทำอะไรได้แค่ไหน กรณีทุจริตคอร์รัปชันแม้ในหมู่คนใกล้ตัว กล้าสะสางแค่ไหน ก็รู้ๆ กันอยู่
ที่ร้ายคือ พอตัดสินใจกระโจนเข้าสู่เวทีการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ก็ทำอะไรได้ทุกอย่างเพื่อคะแนนเสียงของตน ไม่เว้นแม้จะต้องกลืนน้ำลาย เสียสัจจะ ไม่เว้นแม้จะกระทำซ้ำในสิ่งที่นักการเมืองเลวที่ตนปรามาสมาแล้วเคยทำกัน
ไม่ว่าจะเป็นการแจกเงินแบบประชานิยม หรือการแต่งตั้งโยกย้ายถอดถอนข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ
ที่แย่กว่าคือ ยอมให้รัฐมนตรีในคณะที่สนับสนุนตนไปตั้งพรรคการเมืองโดยไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ทั้งใช้สารพัดวิธีดูดนักการเมืองมาสนับสนุนโดยไม่สนใจว่านักการเมืองที่ดูดมานั้นจะมีจุดยืนทางการเมืองอย่างไร หรือมีประวัติพฤติกรรมเลวร้าย และฉ้อราษฎร์บังหลวงมาแล้วแค่ไหน
นี่ยังไม่พูดถึงรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่เอื้อประโยชน์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในอำนาจได้ต่อไป
ถ้าไม่มีอะไรมาทำให้เปลี่ยนใจเสียก่อน พล.อ.ประยุทธ์ ก็คงได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่ออย่างแน่นอน
แต่ก็จะบริหารราชการบ้านเมืองต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอนด้วยเช่นกัน แม้จะมีโหรกี่รายมาทำนายว่าจะอยู่ในอำนาจได้นานก็ตาม
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยมันบอกอย่างนั้น !
และเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ใครฮึ่มๆ อยากยึดอำนาจต่อ อย่ามาโทษประชาชนก็แล้วกัน เพราะบางทีประชาชนอาจตื่นรู้และตั้งสติได้ ไม่ยอมปล่อยให้ชาติบ้านเมืองเป็นเพียงสมบัติของพวกนักการเมือง นักการทหาร และนายทุนที่อยู่เบื้องหลังทั้งนักการเมืองและนักการทหารมาโดยตลอดอีกต่อไป
ประชาชนอาจตื่นรู้และตระหนักว่า อำนาจอันแท้จริงนั้นมิใช่ของใคร หากเป็นของพวกเขา ประชาชน
และแม้ใครจะไม่ยอมรับว่า อำนาจเป็นของประชาชน อย่างน้อยก็ควรยอมรับว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ทรงสละพระราชอำนาจของพระองค์ให้แก่ประชาชน ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2477 ที่พระองค์ท่านทรงสละราชสมบัติแล้วตามพระราชหัตถเลขาที่ว่า
“ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร"
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษาร้อยชักสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี