โดยปกติแล้ว เมื่อถูกแจ้งข้อหา คนส่วนใหญ่จะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายของตำรวจเพียงลำพัง อย่างมากก็นำทนายความไปด้วยสักคน ในกรณีที่เป็นนักการเมืองหรือนักธุรกิจ แต่ช่วงนี้เกิดเหตุประหลาดในเมืองไทย หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่หมาดได้รับหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหา แทนที่จะเดินทางไปรับฟังเหมือนคนทั่วไป กลับปลุกม็อบเรียกร้องให้ผู้นิยมชมชอบออกมาแสดงพลังเพื่อปกป้องตนเอง โดยปั่นกระแสทางโซเชียลมีเดีย มิหนำซ้ำยังดึงองค์กรต่างชาติเข้ามาสังเกตการณ์ แล้วอ้างว่าตนถูกอำนาจมืดทำร้าย จากนั้นก็อ้อนบรรดาสาวกทั้งหลายราวกับพระเอกลิเก
หัวหน้าพรรคดังกล่าวกำลังตกหล่มที่ตัวเองขุดไว้ในอดีต นั่นคือเรื่องการโอนหุ้นที่ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ และกรณีการเป็นนายทุนหนังสือนิตยสารที่มีเนื้อหาแนวปลุกเร้าให้เสื่อมศรัทธาในสถาบันกษัตริย์
บรรดาไทยมุงต่างคาดหวังจะเห็นหน้าตาจิ้มลิ้มของหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ที่แห่แหนแสดงพลังออกไปให้กำลังวีรบุรุษไพร่หมื่นล้านของตน แต่พอเห็นหน้ากองเชียร์ ไทยมุงถึงกับฮาตูม เพราะอายุเลยห้าสิบกันทั้งนั้น แถมเป็นหน้าเดิมๆ ที่เสนอหน้ามาตามม็อบเสื้อแดง เพียงแต่หนนี้เปลี่ยนมาใส่เสื้อสีส้มแทน
หลายคนสงสัยว่า ทำไมคนจำนวนมากถึงนิยมชมชอบผู้ต้องสงสัยคดีความเป็นชนักติดหลัง แถมยังไม่ได้ทำผลงานอะไรให้ปรากฎเป็นชิ้นเป็นอัน อย่าได้แปลกใจ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องการตลาดล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นทักษิณ ชินวัตร หรือดาวรุ่งที่พุ่งมาทาบเงาทักษิณ โดยขายฝันอันเพ้อเจ้อแบบเดียวกันแบบหัวหน้าพรรครายนี้ เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วนในอเมริกา ตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดคดีหนึ่งคือ คดีคู่รักนักปล้น บอนนี่และไคลน์ (Bonnie and Clyde)
ช่วงยุคเศรษฐกิจตกต่ำในอเมริกาหรือเรียกว่ายุค The Great Depression คือช่วงปี ค.ศ.1929 อเมริกันตกงานกันเป็นเบือ ผู้คนยากจนอย่างฉับพลัน ธนาคารหลายพันแห่งของสหรัฐอเมริกาล้มละลาย ตามภาคอุตสาหกรรมและตลาดหุ้น ผู้คนหลายล้านคนสูญเสียเงินและตกงานจำนวนมาก ระหว่าง ค.ศ. 1929-1932 รายได้ประชาชาติ (National Income) ของประเทศลดจาก 81,000 ล้านเหรียญดอลลาร์ เหลือเพียง 41,000 ล้านเหรียญดอลลาร์ ธุรกิจกว่า 8,500 แห่งเลิกกิจการ คนตกงานกว่า 1. 5 คนใน ค.ศ. 1929 เพิ่มเป็น15-16 ล้านคน
ช่วงเวลาอันลำเค็ญเช่นนี้ เกิดโจรนอกกฎหมายผุดขึ้นทั่วประเทศ แต่ผู้คนกลับจดจำเรื่องราวของคู่รักนักปล้นที่ชื่อบอนนี่กับไคลน์ได้ แถมนิยมชมชอบนายและนางโจรคู่นี้ราวกับซุปเปอร์สตาร์ ไปไหนมาไหนมีแต่คนรักใคร่ปกป้อง จนลืมไปว่าทั้งคู่เป็นโจรปล้นฆ่าตำรวจถึงสิบสองคน
บอนนี่ พาร์กเกอร์และไคลด์ แบร์โรว์เป็นคู่ผัวตัวเมียหนาตาดีที่ปล้นดะรายทางตั้งแต่ปั๊มน้ำมันไปยันธนาคาร ร่ำลือกันว่าบางครั้งปล้นธนาคารแล้วเอามาแจกจ่ายคนยากจน บอนนี่เป็นสาวสวยตาสีฟ้าผมบลอนด์ที่ฝันอยากเป็นกวี แต่โชคชะตานำพาเธอมาพบกับหนุ่มรูปหล่อชื่อไคลน์ ทั้งคู่จึงจับคู่ปล้นจนเป็นที่กล่าวขวัญในความโหดเหี้ยม เพราะนอกจากปล้นแล้ว ยังฆ่าตำรวจตายไปถึง 12 คน แถมถ่ายรูปไว้ดูเล่นอีกต่างหาก
นอกจากเป็นโจรแล้ว บอนนี่ยังเขียนบทกวีส่งไปลงตีพิมพ์บ่อยๆ พร้อมถ้อยคำหยิกแกมหยอก ทำให้คนทั่วไปที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการปล้นหลงรักเธอกันทั่วหน้า ที่กระฉ่อนโลกสุดๆ คือเธอมักถ่ายรูปในท่วงท่าต่างๆ ทั้งสุบซิการ์ก๋ากั่นควงปืนเก๋ไก๋ จนกลายเป็นขวัญใจหนังสือพิมพ์ในเวลานั้น
ทุกคนหลงรักคู่รักนักปล้นอย่างชนิดที่เรียกว่าติดตามข่าวอย่างใจจดใจจ่อ พลางเอาใจชวยให้คู่นี้รอดจากการถูกจับ ทั้งที่ทั้งคู่ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมาย ท้าทายกฎหมายบ้านเมืองที่สุด มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ปล้นหนักมือไปหน่อยจนประสบเหตุให้บอนนี่กลายเป็นคนขาเป๋ บรรดาสมาชิกแกงค์โจรอยากลากเธอออกจากกลุ่ม แต่ไคลน์ไม่ยอมเพราะรักสติปัญญาและความมีอารมณ์ขันของเธอ
ไคลน์นั้นแม้จะชอบลักรถ แต่ก็มีน้ำใจพอที่จะทิ้งเงินเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้เจ้าของเป็นสินน้ำใจ เลยเปลี่ยนรถเป็นว่าเล่น อาจจะด้วยความที่ไม่อยากให้ตำรวจตามเจอ รวมทั้งชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยทำให้ทั้งคู่มีรถใหม่ตลอดเวลา
ทางการพยายามตามจับคู่รักนักปล้นคู่นี้ แต่ไม่เคยสำเร็จ เพราะทั้งคู่หูตาไวและมีสายคอยส่งข่าวตลอดเวลา แต่สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง แม้ระแวดระวังอย่างไร สุดท้ายทั้งคู่ก็หลงกลตำรวจจนได้ เพราะเจอมือปราบสุดเก๋าแฟรงค์ ฮาเมอร์ ที่พวกตำรวจหนุ่มๆ ยิ้มหยันในความหัวโบราณ แต่สุดท้ายแฟรงค์พิสูจน์ให้โลกรู้ว่าแก่แต่เก๋าเป็นอย่างไร เพราะสามารถล่อรถที่บอนนี่และไคลน์มาให้ยิงพรุนนับร้อยรู
เช้าตรู่วันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ.1934 เจ้าหน้าที่ในทีมของแฟรงค์ซุ่มรออยุ่ในป่าละเมาะข้างทางมาทั้งคืน สายข่าวแจ้งมาว่าทั้งคู่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ เมื่อทั้งคู่ขับมาถึงบริเวณที่ดักซุ่ม แฟรงค์ก็เดินก๋าออกไปดักหน้ารถ ยังไม่ทันที่จอมโจรจะหันไปคว้าปืน หน่วยของแฟรงค์ที่ซุ่มรอก็ระดมยิงไม่ยั้งมือ
ทั้งคู่เสียชีวิตทันที ปิดฉากคู่รักนักปล้นในวัย 25 และ23 ปีตามลำดับ นับว่าอายุยังน้อยเหลือเกิน เมื่อเจ้าหน้าที่ลากรถที่พรุนด้วยรอยกระสุนและศพทั้งคู่เข้าเมือง ชาวเมืองต่างแห่กันมาดูศพอย่างคับคั่ง บางคนพยายามโอบกอดศพและร้องไห้ บางคนก็ทึ้งสิ่งของเครื่องใช้จากศพไปเป็นที่ระลึก
ความหลงใหลในตัวคู่รักจอมโจรไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น หากแต่มีชีวิตโลดเต้นบนแผ่นฟิล์มหลังจากนั้น เรื่องราวของบอนนี่และไคลด์ได้รับการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Bonnie and Clyde ในปี ค.ศ.1967 นำ โดยถ่ายทำในสถานที่จริงในประวัติศาสตร์ และเรื่องราวของคนทั้งคู่ได้รับการเล่าขานต่อมาจนถึงปัจจุบัน
..........................................................
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี