เบตง เมืองที่ห้ามพลาด ในชีวิตหนึ่งควรไปเห็นสักหน บางคนไปแล้วไปอีก ที่นี่มีดีกว่าที่คิด เมื่อเอ่ยชื่อ เบตง เราจะนึกถึงอะไรกันบ้าง สายกินต้องนึกถึงไก่เบตง ส้มโชกุนเบตง ทุเรียนเบตง (มูซันคิงส์) สายเที่ยวต้องมีทะเลหมอกอัยเยอร์เวงอยู่ในลิสต์ สายบันเทิงต้องนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง โอเค เบตง ในความทรงจำกันบ้าง และถ้ามาแนวชิคๆ จุดเช็คอิน ต้องไม่พลาด Street Art ที่นักศึกษาและอาจารย์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ลงพื้นที่สร้างแลนด์มาร์กใหม่ เพื่อโปรโมท งาน 111 ปี เล่าขานตำนานเมืองเบตง
พังเดือน ลูกทีมเถ่าชิ่วสุทัศน์ คอลัมน์ตู้กับข้าว มีโอกาสไปเยือน อำเภอเบตง จังหวัดยะลา จะพาไปชมอีกแง่มุมของเบตง ที่ไม่น่ากลัวตามข่าวที่ได้ยิน มีทิวทัศน์สวยงาม ทะเลหมอก บ่อน้ำพุร้อน และที่สำคัญจะพาไปชิมอาหารขึ้นชื่อ ใครมาเบตงต้องได้กินไก่เบตง ไปด้วยกันค่ะ ปลอดภัยไร้กังวล เบตง โอเคค่ะ
Street art
ประเดิมอาหารมื้อแรกเมื่อเราลงเครื่องที่สนามบินหาดใหญ่ตอนใกล้เที่ยง น้องเจ้าหน้าที่บริษัทรถเช่าแนะนำร้านข้าวแกงที่ไม่ไกลจากสนามบิน หาไม่ยาก ออกจากสนามบินตรงไปก่อนถึงไฟแดงชิดซ้าย ร้านอยู่ใกล้ร้านชาบู มีอะไรให้กินบ้าง สมาชิกครั้งนี้ มี 3 คน เราได้ใบเหมียงต้มกะทิ คั่วกลิ้งหมู แกงพริกกระดูกอ่อน และหมูหวาน มาตัดเผ็ด พร้อมด้วยน้ำพริกกะปิและผักเคียงตามธรรมเนียมร้านอาหารทางภาคใต้ มักอภินันทนาการให้ลูกค้าเสมอ เราชอบกินใบเหมียงต้มกะทิ เพราะว่ารสชาติน้ำแกงคล้ายแกงเลียงแต่เป็นน้ำกะทิ มีรสพริกไทยมีกลิ่นกะปิ หอมแดง จากการลองชิมมาหลายครั้งร้านนี้เป็นอาหารใต้ที่รสดีชนิดที่คาดไม่ถึง ทำให้เป็นมื้อแรกที่หาดใหญ่ไม่ผิดหวัง ลองเดินไปดูที่ถาดกับข้าว มีคั่วกลิ้งกบ คั่วแลน ให้ลิ้มลอง แต่เราอิ่มแล้ว ถึงไม่อิ่มก็คงไม่กล้าลองกินตัวแลน (แลนหรือภาคกลางเรียกตะกวดเป็นคนละชนิดกับตัวเงินตัวทอง แม้จะมีลักษณะคล้ายๆ กัน สังเกตจากลำตัวแลนจะไม่มีลาย ส่วนตัวเงินตัวทองมีลายเป็นดอกๆ และตำแหน่งของรูจมูกก็แตกต่างกัน โดยตะกวดจะอยู่ใกล้ดวงตามากกว่า ส่วนตัวเงินตัวทองจะมีรูจมูกอยู่ปลายปากบน) โชคดีที่ผู้ร่วมทางใจไม่ถึงไม่สนใจชิมด้วย เมื่ออิ่มท้องแล้วเดินทางกันต่อจากหาดใหญ่ขับไปอำเภอเบตงใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง
เบตง เป็นอำเภอที่มีขนาดใหญ่ของจังหวัดยะลา จังหวัดใต้สุดของประเทศไทย มีชายแดนติดกับประเทศมาเลเซีย เดิมเบตงใช้ชื่อ ยะรม ต่อมาเปลี่ยนชื่อเมื่อประมาณ พ.ศ. 2473 เบตง มาจากภาษามลายู ว่า “Buluh Betong” หมายถึง ไม้ไผ่ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นไผ่ตงที่มีอยู่มากในท้องถิ่น ต้นไผ่ตงจึงกลายเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของอำเภอเบตง นอกจากนั้น เบตง ยังเป็นอำเภอที่มีป้ายทะเบียนรถเป็นของตนเอง เนื่องจากในสมัยก่อนการเดินทางจากอำเภอเบตงไปตัวจังหวัดยะลา หนทางลำบากเป็นภูเขาสูงชันลูกแล้วลูกเล่า บางครั้งอาจมีปัญหาจากความไม่สงบ อีกทั้งความเจริญของเบตง กรมการขนส่งทางบก เลยอนุญาตให้มีการจดทะเบียนรถที่เบตงได้โดยไม่ต้องไปที่จังหวัดยะลา นั่นคืออนุญาตให้มีป้ายทะเบียนเบตง ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2469 เป็นต้นมา เป็นประกาศ ณ วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2468 โดย มหาอำมาตย์นายก เจ้าพระยายมราช เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
ถนนไปเบตง เรียบ กว้าง ขับสบาย ร่มรื่นจากป่าไม้เขียวชอุ่มตลอดทาง แม้จะมีด่านทหารคอยตรวจอยู่บ้างเป็นระยะ แต่ไม่เป็นที่น่ากลัวหรืออุปสรรคอย่างใด แต่เพื่อความไม่ประมาทเราควรจะไปให้ถึงก่อนมืดค่ำ ก่อนเข้าถึงอำเภอเบตงสัก 50 กิโลเมตร ช่วงสะพานข้ามทะเลสาบฮาลูบาบา เห็นทิวทัศน์สวยงาม เป็นถนนช่วงผ่านหุบเขา หนทางคดเคี้ยว สัญญาณโทรศัพท์ตรงช่วงนี้อาจติดๆ ขัดๆ บ้าง
สวนดอกไม้เมืองหนาว ที่หมู่บ้านปิยะมิตร 2 ตำบลตาเนาะแมเราะ
สวนไม้ดอกเมืองหนาว หรือ สวนหมื่นบุปผา เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาวแห่งเดียวในภาคใต้ ตั้งอยู่ในบริเวณหมู่บ้านปิยะมิตร 2 เป็นโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ และได้ทรงอักษรจีนพระราชทานนามสวนแห่งนี้ว่า ว่านฮัวหยวน หรือแปลเป็นไทยว่า สวนหมื่นบุปผา มีการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยมีทั้งชาวไทยและชาวมาเลเซียเดินทางมาเยี่ยมชมความสวยงาม และยังพัฒนาเป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกแทนการปลูกยางพาราตามแนวพระราชดำริเพื่อสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่
มื้อเย็น เรามีนัดที่ร้านต้าเหยิน ร้านที่ใครมาเบตงต้องได้มาเยือน อาหารขึ้นชื่อ คือไก่เบตง เคาหยก ถั่วฝักยาวเจี๋ยน ผัดผักน้ำ ผัดหมี่เบตง หมูเต้าหู้ยี้ เต้าหู้ทรงเครื่อง สั่งมากินได้เลยรับรองไม่ผิดหวัง และเมนูพิเศษที่เจ้าของร้านต้าเหยินทำพิเศษให้โต๊ะเรา คือ หมูแดง แม้ดูเป็นเมนูธรรมดา แต่อร่อยสมกับการกลับมาชิมเป็นรอบสอง เนื้อหมูแดง สีสวย หวานกลมกล่อม หั่นชิ้นหนาเคี้ยวเต็มคำ กินควบกับหมั่นโถวนุ่มที่เคียงมาด้วย อร่อยกำลังดี
โรตีรสอร่อย
เมนูเยอะจัดหนักขนาดนี้ เราถึงกับต้องขอเดินกลับที่พักเป็นการย่อยอาหารไปในตัว เดินมาถึงหอนาฬิกา ใกล้กับอุโมงค์เบตงมงคลฤทธ์ อุโมงค์ลอดภูเขาแห่งแรกของประเทศไทย เจอร้านโรตี มีลูกค้ายืนมุงอยู่หลายคน เมียงมองแล้ว ลองชิมสักอันแบบธรรมดา กรอบ แป้งบาง แต่มีเนื้อให้ได้เคี้ยว อันละ8 บาท ได้ยินลูกค้าเจ้าอื่นสั่ง “ประกบ 1 ชุด” เอ๊ะ แปลว่าไร แอบดูแล้วคือการนำแป้งโรตี 2 แผ่น ที่ยังไม่ได้ทอด มาทอดรวมกัน ทำให้ได้เนื้อแป้งที่หนาขึ้น อร่อยยกกำลัง 2 หากใครมาเบตงอย่าพลาดมาชิมนะคะ ร้านหาไม่ยาก มาถึงอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ เป็นได้พบความอร่อย ร้านเปิดช่วงเย็นๆ ไปจนถึง 3-4 ทุ่ม
ร้านอาหารเช้า
เมนูมื้อเช้า ที่ร้านไทซีฮี้ อยู่ปากทางเข้าอุโมงค์เบตงมงคลฤทธ์ ใกล้กับที่มาชิมโรตีเมื่อคืน ผู้คนแน่นร้านชนิดเป็นเก้าอี้ดนตรี ติ่มซำ บางคนเรียกว่าเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย อาหารว่างสำหรับแต่งแต้มหัวใจ เมื่อเห็นเข่งติ่มซำวางเรียงราย มีรายการให้เลือกมากมายขนาดนี้ ถึงกับกินจริง อิ่มจริง เลยค่ะ ธรรมเนียมเมนูติ่มซำต้องมีซาลาเปา ขนมจีบ ฮะเก๋า ก๋วยเตี๋ยวหลอด แต่ที่เราพลาด คือ จี้ฉ่องฝัน เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก คลุกน้ำมันงาและซีอิ๊วขาว เติมรสด้วยซอสพริกศรีราชา เห็นลูกค้าที่นั่งร่วมโต๊ะสั่งมากิน เราได้แต่มองฝากไว้ก่อนเถอะ กินไปหลายเมนูถือว่าเป็นติ่มซำรสชาติดี ราคาชวนชิม เข่งละประมาณ 15 บาท น้ำชาร้อนร้อนได้ใจจริงกลิ่นหอมจรุง ซดน้ำชาจีนคู่ติ่มซำเข้ากันที่สุดแล้ว
ร้านไทซีฮี้ ช่วงเช้าจนถึงเที่ยงจะเป็นเมนูติ่มซำ หลังเที่ยง ก็จะเป็นอาหารประจำท้องถิ่นเบตง คือ ไก่เบตง ผัดผักน้ำ ฯลฯ
ก๋วยจั๊บน้ำข้น
ก๋วยจั๊บเต้จิ๋วรสกลาง ไม่เค็มจนเกินไป ใส่เครื่องเคราครบครันตั้งแต่หมูกรอบ เลือด ไส้ เนื้อหมูหั่น กระเพาะต้มจนนุ่ม กระดูกอ่อน ตับ ปอด เรียกว่าได้กินหมูเกือบครบตัว
ร้านสุดท้ายของทริปเบตง ที่พลาดไม่ได้ คือร้านเจริญข้าวมันไก่เบตงพันธุ์แท้ ได้คุยกับพี่แม้ว เจ้าของร้านอย่างออกรสชาติ เพราะเราแปลกใจราคาของไก่เบตงที่ค่อนข้างสูงกว่าไก่ปกติทั่วไป ไก่เบตงแท้ๆ คือไก่ที่มาจากเมืองกวางไส (จีนแผ่นดินใหญ่) ไก่ชนิดนี้มีรูปร่างประหลาดแต่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัวคือ ไม่ค่อยมีขน ปีกสั้น ปัจจุบันคนเลี้ยงน้อยเพราะไม่คุ้ม เนื่องจากต้องใช้เวลาและกรรมวิธีการเลี้ยงที่ผิดแผกไปจากไก่ฟาร์มทั่วไป โดยวิธีการดั้งเดิมต้องเลี้ยงแบบไก่บ้านคือมีบริเวณกว้างเพื่อให้ไก่เดินและหากินอาหารตามธรรมชาติ ไก่เบตงเมื่อถึงอายุขายหรือใช้งานได้ในช่วง 5-6 เดือน น้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัม ราคาประมาณ 1 พันบาทขึ้นไปต่อตัว
เราขอสนับสนุนว่า ไก่เบตง อร่อยจริง เนื้อไก่เหนียวกำลังสู้ฟันแต่นุ่มและไม่ยุ่ย หนังบางเคี้ยวอร่อย แบบไม่มีมัน ยิ่งได้ข้าวมันที่หุงกำลังดีด้วยข้าวหอมเม็ดร่วน ถ้าได้น้ำจิ้มแบบกรุงเทพฯ ที่หนักขิง หนักพริก เราสามารถกินไก่ได้เป็นตัวๆ เลย เสียดายตรงที่ ไก่เบตงไม่มีวางขายทั่วไปตามตลาด ต้องสั่งล่วงหน้า นอกจากเมนูข้าวมันไก่แล้ว ที่เห็นลูกค้าทุกโต๊ะสั่ง คือ ก๋วยจั๊บน้ำข้น และที่พลาดไม่ได้อีกจาน คือ หมี่แกง ที่ทำขายกันเพียงไม่กี่ร้านในเบตง คล้ายก๋วยเตี๋ยวแกงของมุสลิม แต่เป็นเส้นหมี่ราดด้วยน้ำแกง กลิ่นหอมไม่รุนแรงมาก รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของการมา 3 จังหวัดภาคใต้
ลองถามตัวเองว่าเมื่อได้ชิมไก่เบตงจาก 2 ร้านดังแล้ว เมื่อกลับกรุงเทพ จะกินไก่ตามท้องตลาดได้อย่างไร นอกจากไก่ ส้มโชกุนเบตง ก็สุดยอด ชิมส้มเบตงแล้ว นึกถึงส้มบางมดสมัยก่อน ที่รสชาติจี๊ดจ๊าดถึงใจ แต่ส้มเบตงจะผลใหญ่ เปลือกเขียวแต่บางปอกง่าย และเส้นใยละเอียดกว่า
อาหารประจำเมืองอีกอย่างที่ยังไม่ได้ชิม ขนาดตั้งใจไปที่ร้านถึงสองรอบคือ เฉาก๊วยเบตง เพราะกิตติศัพท์อันโด่งดัง ไปถึงร้านใกล้เที่ยง...หมด รุ่งขึ้นไปตั้งแต่ 9โมงเช้า ก็บอกว่าหมดอีก ทั้งที่เราก็เมียงมองแล้วไม่เห็นลูกค้าสักคนในร้าน อีกอย่างที่พลาด คือ ทุเรียนมูนซันคิงส์ ที่เค้าว่ากิโลกรัมละหลายร้อย ได้ชิมแต่ทุเรียนบ้านที่พ่อค้าขี่รถเครื่องมาขายถึงโต๊ะกินข้าวลูกละ 100 บาท ทุเรียนบ้านที่คนกรุงเทพฯ ชอบกินแบบกรอบนอกนุ่มใน ต้องเรียกทุเรียนปลาร้า เนื้อเละหวานแบบมีติดรสขมปลายลิ้น ตอนแรกแปลกใจทำไมคนที่นี่ถึงชอบกินทุเรียนเละๆ พอเห็นต้นทุเรียนที่เบตงแล้ว เลยหายสงสัย ต้นสูงมาก ต้องรอให้ลูกสุกและตกหล่นลงมาถึงนำมากินได้
รวมถึงกบภูเขา อาหารขึ้นชื่ออีกอย่างของที่เบตง ได้คุยกับพี่แม้ว ร้านเจริญ พี่เค้าสัญญาว่ามาครั้งหน้า จะหากบภูเขามาทำคั่วกลิ้งให้ชิม ว่านอกจากต้มไก่เบตงได้เยี่ยมแล้ว สาวนครศรีธรรมราชแบบพี่แม้ว ก็ปรุงอาหารปักษ์ใต้รสชาติเผ็ดร้อนได้ไม่แพ้กัน
เบตง ไปครั้งเดียวคงไม่พอแน่ๆ ขอกลับมาเยือนอีกครั้งตอนที่สนามบินเบตงสร้างเสร็จ ประมาณปี 2563 น่าจะอำนวยความสะดวกให้มีนักท่องเที่ยวมาเยือนอีกจำนวนมหาศาล
ภาพ มีรัติ รัตติสุวรรณ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี