การรณรงค์ลดและเลิกการใช้กล่องโฟมกับถุงพลาสติกของบ้านเราดำเนินมานานกว่าสิบปีแล้ว เอาจริงเอาจังบ้าง ไม่เอาจริงเอาจังบ้าง พอมีเรื่องที่เป็นกระแสก็หันมาโหมรณรงค์ใหญ่กันที เช่น การตายของพะยูนน้อยกำพร้า “มาเรียม” เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งผลการผ่าซากชันสูตรสาเหตุการตายระบุว่า มีเศษพลาสติกเล็กๆ หลายชิ้นขวางลำไส้จนมีอาการอุดตันบางส่วน และอักเสบ จนลุกลามไปสู่อาการอื่นๆ ที่ไม่สามารถรักษาได้ จนช็อกเสียชีวิตในที่สุด
พร้อมการจากไปของ “มาเรียม” ซูปเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลาย ก็สนองรับด้วยแคมเปญงดแจกถุงพลาสติกวันโน้นวันนี้ หรือช่องชำระเงินช่องนี้ไม่มีถุงพลาสติกใส่สินค้าให้ ร้านสะดวกซื้อบางแห่ง ถ้าซื้อของไม่ถึง 4 รายการ ต้องถือไปเองไม่มีถุงพลาสติกใส่ให้ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ภาคราชการและองค์การภาคประชาสังคมทั้งหลาย ก็ช่วยกันรณรงค์ให้คนหันมาพกถุงผ้าเวลาไปจ่ายตลาด ซึ่งถือเป็นเรื่องดี
แต่ที่อยากติติงคือ ภาคราชการยังทำน้อยไปนิด ส่วนซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้น ยังทำน้อยไปมาก !
ในภาคราชการ ที่มีปฏิบัติการชัดเจนตั้งแต่ยังไม่เกิดกรณี “มาเรียม” คือ การประกาศงดใช้กล่องโฟมและถุงพลาสติกในเขตอุทยานแห่งชาติและสวนสัตว์ทั่วประเทศที่สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต่อมาได้พยายามรณรงค์ให้ส่วนราชการอื่นๆ ปฏิบัติตาม กระนั้นมาตรการเหล่านี้ยังไม่มีผลบังคับในสังคมวงกว้างและในระดับทั่วประเทศ ทั้งที่ผ่านมารัฐบาลมีอำนาจพิเศษจะทำได้ และหากขอความร่วมมืออย่างจริงจังกับภาคเอกชนที่ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งสามารถใช้แทนกล่องโฟมกับถุงพลาสติกก็สามารถทำได้ไม่ยาก
ในระดับจังหวัด หลายแห่งมีความพยายามสนองรับนโยบายเลิกใช้กล่องโฟมและถุงพลาสติก เมื่อเร็วๆ นี้ ผมมีโอกาสผ่านไปแถวบ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ไปพบกลุ่มผลิตภาชนะจากกาบหมากและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ มีคนทำงานอยู่ไม่กี่คนกับเครื่องจักรเล็กๆ สำหรับอัดขึ้นรูปกาบหมากให้เป็นจานและกล่องใส่อาหาร
ชาวบ้านใช้ความพยายามอย่างมาก ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ และมีความตั้งใจ แต่ความช่วยเหลือจากภาครัฐอาจจะยังไม่พอ ทำให้ผลิตภัณฑ์ยังมีราคาไม่เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวัน หรือการใช้ในเชิงธุรกิจ
จากภาพข้างบน จานกาบหมากราคาใบละ 4 บาท กล่องขนาดเล็กมีฝาครอบ ราคาใบละ 5 บาท และกล่องขนาดใหญ่มีฝาครอบ ขนาดพอๆ กับกล่องโฟมที่ใส่ข้าวผัดได้หนึ่งจาน ราคาใบละ 10 บาท ด้วยต้นทุนราคากล่องใส่อาหารที่สูงขนาดนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ร้านอาหารตามสั่งจะสามารถนำมาใช้แทนกล่องโฟมและถุงพลาสติก แม้ว่าภาชนะที่ทำจากกาบหมากเหล่านี้ จะสามารถล้างและนำมาใช้ซ้ำได้อีก 2-3 ครั้ง แต่ต้องตากแดดให้แห้งเพื่อไม่ให้เกิดเชื้อรา
สภาพความจริงเช่นนี้ หากภาครัฐไม่ยื่นมือมาช่วยเหลืออย่างจริงจัง สร้างนวัตกรรมการผลิต ให้ภาชนะที่ทำจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติมีต้นทุนที่ต่ำลง และจำหน่ายได้ในราคาที่ผู้ประกอบการร้านอาหารสามารถรองรับได้ การผลิตภาชนะจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติของกลุ่มชาวบ้านเพื่อยุติการใช้กล่องโฟมและถุงพลาสติกก็ไม่อาจดำรงอยู่ต่อไปได้นานอย่างแน่นอน
สำหรับซุปเปอร์มาร์เก็ตที่กล่าวว่า ยังทำน้อยไปมากนั้น เพราะที่ผ่านมา ซุปเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลาย ต่างโยนภาระให้ประชาชนผู้บริโภค งดให้ถุงพลาสติก เรียกร้องให้ประชาชนหาถุงผ้ามาใส่เอง หรือไม่ก็ซื้อถุงรีไซเคิลที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตวางไว้ขายข้างๆ เคาเตอร์ชำระเงินของตนอีกต่อหนึ่ง
คำถามคือ ทำไมซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่จัดหาถุงและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใส่สินค้าให้ลูกค้าแทนถุงพลาสติกที่กำลังรณรงค์ให้เลิกใช้ เพราะนี่คือหน้าที่ดั้งเดิมของผู้ขายที่จะต้องจัดหาถุงมาใส่สินค้าให้ผู้ซื้ออยู่แล้ว ทั้งปัจจุบันก็มีสถานประกอบการที่ผลิตถุงและบรรจุภัณฑ์อาหารที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจำหน่ายในราคาที่เข้าถึงได้อยู่แล้ว ใช้งบประมาณเปลี่ยนถุงพลาสติกมาเป็นถุงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ต่ำกว่างบโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 หรืองบโปรโมชั่นลดครึ่งราคาเป็นไหนๆ
นี่ยังไม่พูดถึงว่า ถ้าซื้อของเยอะๆ ของใหญ่ๆ มิต้องเตรียมเย็บถุงผ้าขนาดยักษ์หลายๆ ใบ พกติดตัวกันหรอกหรือ ?
แล้วทำไม จึงต้องโยนภาระเรื่องถุงพลาสติกมาให้ผู้บริโภค ทำไมนายทุนเจ้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่รับผิดชอบอะไร ทำไมไม่เปลี่ยนมาใช้ถุงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
และที่ตลกร้ายยิ่งกว่านี้คือ ขณะเรียกร้องให้ประชาชนผู้บริโภครักโลก รักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตจะไม่แจกถุงพลาสติก แต่ภายในซุปเปอร์มาร์เก็ตกลับมีกล่องพลาสติกไว้ที่สลัดบาร์ มีฟิล์มพลาสติกไว้ห่ออาหาร มีถุงพลาสติกไว้ใส่ผลไม้ และกุ้งหอยปูปลา !
เลิกโยนภาระให้ประชาชน และทำเป็นรักโลกแบบลูบหน้าปะจมูกเสียทีเถอะครับ
ประชาชนผู้บริโภคของเรา ก็ต้องตาสว่าง อย่าเต้นรำไปตามจังหวะดนตรีของนายทุน อย่าอ้างว่าร้านค้าในยุโรป อเมริกา เขาก็ไม่แจกถุงพลาสติก เขาให้ผู้ซื้อหาถุงผ้ามาใส่เอง เพราะนั่นมันร้านค้าในค่านิยมของทุนนิยมโดยชัดเจน
ในประเทศของเรา ประเทศไทยที่น่ารักของเรา ร้านค้าร้านอาหารในสถานประกอบการในโรงงานจำนวนไม่น้อย เขามีกฎห้ามเจ้าของร้านใช้กล่องโฟม และถุงพลาสติกมาบริการพนักงาน
ในหมู่บ้านและชุมชนต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดจำนวนมาก ผู้ประกอบการก็สามัคคีกัน เลิกใช้กล่องโฟมและถุงพลาสติก หันมาใช้บรรจุภัณฑ์อาหารที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยหวังให้ชุมชนของเขาน่าอยู่อาศัยและพัฒนาทั้งทางวัตถุและจิตใจ
พ่อค้าแม่ค้ารายเล็กรายน้อยเหล่านี้ เขาเปลี่ยนแปลงเอง แบกรับภาระเองด้วยความภาคภูมิใจ ไม่โยนภาระให้ประชาชนไปหาถุงผ้าหรือหิ้วปิ่นโตมาซื้อ
ต่างกับพวกนายทุนเจ้าของซุปเปอร์มาร์เก็ต เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่มากมายนัก
ท่านนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบรรดานักการเมืองในรัฐสภาทั้งหลายครับ พ่อค้าแม่ค้ารายเล็กๆ เขายังเสียสละ เขายังทำได้ ทำไมนายทุนเจ้าของห้างร้านค้าผูกขาดใหญ่โตจะทำไม่ได้
ออกกฎหมายฉบับเดียวเท่านั้น ประเทศไทยก็จะไร้ถุงพลาสติกและกล่องโฟม
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษาร้อยชักสาม
5 กันยายน 2562
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี