อเมริกาช่วงนี้มีแต่ข่าวตบตีด่าทอ ผสมกับน้ำท่วมใหญ่ที่เท็กซัสเหมือนบ้านเราในอุบล แต่น้ำท่วมที่เท็กซัสนั้นจัดหนักจัดเต็มตูมเดียวมิดหลังคามาไว สงครามการค้ากับจีนก็ยังอึมครึม แถมตอนนี้ไอ้แสงริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์ดูเหมือนจะริบหรี่กว่าเดิม เพราะจีนที่เคยรับปากว่าจะซื้อหมูซื้อถั่วเหลืองอาจเปลี่ยนใจไม่ซื้อ นึกถึงแล้วถอนใจ อาทิตย์นี้ขอเขียนเล่าเรื่องเบาๆให้ฟังกันเป็นการสลับฉาก
หลายคนคงรู้จักยุวทูตด้านสิ่งแวดล้อมที่ชื่อเกรต้า ธันเบิร์ก แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก เด็กหญิงออทิสติกชาวสวีเดนวัยเพียงแค่ 16 ปี กำลังขึ้นให้การต่อสภาคองเกรสสหรัฐอาทิตย์นี้ เพื่อขอให้นักการเมืองลุงแซมฟังคำแนะนำนักวิทยาศาสตร์และออกมาตรการเชิงปฎิบัติที่มีประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมรุ่นจิ๋วคนนี้มาอเมริกาและเรียกร้องให้สภาคองเกรสตื่นจากความในมาเผชิญหน้าความจริง โดยกล่าวว่า
“ไม่ใช่เวลาและสถานที่สำหรับความฝัน นี่เป็นเวลาที่ต้องตื่นแล้ว”
พออ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า แม่สาวเกรต้านี่เป็นใครกัน ถึงได้รับการยกย่องถึงขึ้นได้รับเชิญมาให้การในสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกา
จุดเริ่มต้นที่ทำให้สาวน้อยเกรต้าเป็นที่รู้จักทั่วโลก เพราะการออกมารณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมของเธอเอง เธอเป็นลูกสาวของนักแสดง สวานเต ธันเบิร์ก กับเมเลนา เอินแมน นักร้องโอเปราผู้โด่งดังของสวีเดน เป็นหลานของปู่โอลอฟ ธันเบิร์ก นักแสดงและผู้กำกับ และเป็นเหลนแท้ๆ ของสวานเต อาร์เรเนียส นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดนเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมีเมื่อ ค.ศ. 1903 อาร์เรเนียสเป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์สาขาเคมีฟิสิกส์ ผู้ค้นพบว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในชั้นบรรยากาศทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ซึ่งนับเป็นการวิจัยครั้งแรกที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นสาเหตุของสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน
เกรต้าเริ่มสนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่อตอนอยู่ ป.3 อายุแค่ 9 ขวบ จากเรื่องการประหยัดพลังงานที่เรียนรู้จากในโรงเรียน นับจากวันนั้นเป็นต้นมา เธอทุ่มเทความสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง ด้วยความเป็นออทิสติกจึงทำให้ยิ่งคร่ำเคร่งใส่ใจกับหัวข้อนี้อย่างไม่หยุดหย่อน นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ นั่นคือหยุดบริโภคเนื้อสัตว์ แทบไม่ซื้อสิ่งของอะไรใหม่เลยยกเว้นจำเป็นจริงๆ หยุดเดินทางด้วยเครื่องบิน ติดตั้งแผงโซลาเซลล์และปลูกผักกินเอง
แต่สิ่งที่ทำให้เกรต้ามีชื่อเสียงก้องโลกคือสุนทรพจน์อันตรงไปตรงมา แต่เจ็บจิ๊ดสำหรับผู้ใหญ่ทุกคน คือสุนทรพจน์ของเธอ ในที่ประชุมภาคีแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 24 ที่โปแลนด์
“พวกคุณบอกว่ารักลูกหลานของคุณเหนือสิ่งอื่นใด แต่กลับขโมยอนาคตของพวกเขาไปต่อหน้าต่อตา พวกคุณพูดกันแต่ว่าต้องก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความคิดแย่ๆ แบบเดิมที่ทำให้เราต้องผจญวิกฤตการณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน ทั้งๆ สิ่งที่น่าจะต้องทำที่สุดคือการดึงเบรกฉุกเฉิน พวกคุณไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะยอมรับความจริง และทิ้งปัญหาไว้ให้กับพวกเรา เด็กๆ ทั้งหลาย”
อย่าว่าแต่ประธานาธิบดีหรือบรรดาผู้นำเลย ใครฟังก็รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น รู้สึกละอาย และยอมรับในความผิดนั้น หากใจไม่ด้านจนเกินไป
ล่าสุดเธอถูกเสนอชื่อเข้ารับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2019 และขึ้นปกนิตยสาร TIME พร้อมถูกยกเป็นผู้นำของคนยุคใหม่ นอกจากนี้ยังได้รับการเสนอชื่อจากสมาชิกรัฐสภาของนอร์เวย์ 3 คน ให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี ค.ศ. 2019 อีกด้วย ปลายเดือนตุลาคมนี้แหละจะได้รู้กันว่าเธอจะได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้หรือไม่
แล้วเรื่องนี้เกี่ยวโยงกับตาลุงผมเป๋อย่างไร มาดูกันว่าตาลุงในฐานะเป็นผู้นำประเทศอันดับหนึ่งของโลกมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง
ปัญหาเรื่องโลกร้อนนี่เป็นประเด็นหลักที่ทุกประเทศให้ความสำคัญ ในปี 2015 มีการประชุมที่ปารีสว่าด้วยการลดก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกเพื่อขจัดต้นตอของภาวะโลกร้อน 197 ประเทศทั่วโลกได้พร้อมใจกันลงนามรับรองข้อตกลงดังกล่าวที่ปารีส เพราะนาทีนี้ทั้งโลกต่างรู้เรื่องโลกร้อนอันเกิดจากภาวะเรือนกระจกกันทั่วหน้า จึงหันมาปรึกษากันเพื่อร่วมมือในการลดก๊าซอันทำให้เกิดปรากฎการณ์เรือนกระจก อันทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น โดยประเทศที่ก่อปัญหาก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่อันดับหนึ่งคือ จีน และอันดับสองคืออเมริกา ทั้งสองประเทศปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกรวมกันเป็นสัดส่วนถึง 40 เปอร์เซนต์ เรียกว่าแทบจะครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
หากทุกประเทศไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีที่ให้ไว้ต่อข้อตกลงภูมิอากาศปารีสอย่างจริงจัง ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งรวมบ้านเราด้วยอีกนั่นแหละ มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะเผชิญกับวิกฤตความยากจนและหายนะข้อตกลงภูมิอากาศปารีสซึ่งผู้แทนจาก 195 ประเทศได้ร่วมลงนามเมื่อปี 2015 กำหนดให้มีการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส จากระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ในยุครัฐบาลโอบาม่าได้มีการให้คำมั่นสัญญาว่าจะร่วมมือลดปัญหาโลกร้อนด้วยการให้สัญญาว่าจะลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 26-28% จากระดับเมื่อปี 2005 ภายในปี 2025
แต่พอมาถึงพี่ทรัมป์ พี่แกกลับหลังหันสุดตัวแล้วประกาศก้องว่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนั้นเป็นเพียง “การโกหกหลอกลวง” ที่จีนสร้างขึ้นมา เท่านั้นยังไม่สะใจโก๋ พี่ทรัมป์อยากชุบชีวิตอุตสาหกรรมถ่านหินของอเมริกาขึ้นมาใหม่ แม้ถ่านหินถือเป็นแหล่งพลังงานที่สกปรกและสร้างมลพิษรายสำคัญก็ตาม ไม่ใช่เรื่องอะไรในกอไผ่ ทรัมป์มีหุ้นอยู่ในธุรกิจน้ำมันและถ่านหินนั่นเอง จากนั้นลุงแซมก็เดินสะบัดก้นถอนยวงออกจากข้อตกลงภูมิอากาศปารีส ปี 2015 ที่ทั้งโลกร่วมมือกันแก้ปัญหาโลกร้อน ท่ามกลางเสียงด่าระงมจากชาวโลกและอเมริกันทั้งประเทศ
แถมทรัมป์ยังยืนยันให้ชัดเจนกว่าเก่าว่า อย่างไรก็จะปลุกผีให้กลับมาใช้ถ่านหินให้ได้ โดยไม่ฟังเสียงด่าและเสียงค้านของหน้าไหนทั้งนั้น
การมุ่งหวังให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้งโดยการเมินเฉยและละเลยต่อปัญหาส่วนรวมของโลก เผยให้ชาวโลกเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของลุงแซมว่าเต็มไปด้วยความอัปลักษณ์ทั้งภายในและภายนอก เพราะเผยไต๋ออกมาแล้วว่าอเมริกาเห็นแก่ตัวที่สุด ไม่สนใจปัญหาส่วนรวมแต่อย่างใด แต่มุ่งเอาตัวเองให้อยู่รอดอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงจริยธรรมทั้งสิ้น แบบนี้ต่อให้สาวน้อยเกรต้า 100 คนก็สู้ความดื้อด้านของลุงผมเป๋แกไม่ได้หรอก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี