บทความผมฉบับที่แล้ว มีท่านผู้อ่านซึ่งเป็นนักคิดนักเขียน ท่านหนึ่ง คือ คุณภาณุมาศ ทักษิณา แสดงความคิดเห็นเอาไว้ ค่อนข้างสำคัญใน 2 ประเด็นคือ
1 ถ้าเป็นประชาธิปไตยจริงๆ ต้องให้เสรีภาพแก่ประชาชน ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. โดยไม่ต้องสังกัดพรรค แต่นี่ดันออกกฎหมายให้นักการเมืองเหมือนสัตว์
2 ไม่ควรให้ประชาชนสังกัดพรรค เพราะมันคือการแบ่งแยกประชาชน
ตั้งแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ประเทศไทยมีการเลือกตั้งทั่วไป (คือทั่วประเทศ) มาแล้วหลายครั้ง การเลือกตั้งแรกๆ ก็ไม่มีพรรคการเมืองหรอกครับ พรรคการเมืองบ้านเราเกิดขึ้นครั้งแรกคือพรรคก้าวหน้า โดยหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อเดือนมีนาคม 2488
พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด คือพรรคประชาธิปัตย์ก่อตั้ง 6 เมษายน 2489
และแม้จะมีพรรคการเมืองเกิดขึ้น ก็ไม่มีกฎหมายบังคับให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งสังกัดพรรค จะสังกัดพรรคก็ได้ ไม่สังกัดพรรคก็ได้
การปล่อยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งมีอิสระ จะสังกัดพรรคก็ได้ ไม่สังกัดพรรคก็ได้ ทำให้นักการเมืองขายตัว เมื่อได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภาแล้ว จะต้องให้สมาชิกสภาผู้แทนโหวตว่าใครเหมาะที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนี้แหละครับ ราคา ส.ส. อิสระ คือไม่สังกัดพรรคจะมีค่า มีราคาขึ้นมา เพราะการเลือกตั้งไม่มีพรรคไหน หรือกลุ่ม ไหนชนะเด็ดขาด
ต่อมาจึงออกกฎหมายให้สังกัดพรรค
สมัย 2500 หรือสมัย 2511 2512 สังกัดพรรคก็ได้ ไม่สังกัดพรรคก็ได้ นักการเมือง ส่วนหนึ่ง ก็จะเร่ไปตามพรรคการเมืองต่างๆ เช้าพรรคนี้ สายพรรคนู้น
ดึกๆ ไปอีกพรรค ข้อเสนอพรรคไหนดี เช่นให้เงินสนับสนุนในการหาเสียงท่าไหร่ ในช่วงเวลานั้น ชื่อเสียงของพรรคไหนกำลังดี ในทางสากลเป็นอย่างไร เป็นโลกของทุนนิยม หรือเป็นช่วงเวลาของสังคมนิยม พรรคใดมีแนวโน้มว่าจะได้เป็นรัฐบาล นักการเมืองต้องเอามาไต่ตรองใคร่ครวญ
การเร่ไปยังพรรคการเมืองต่างๆ เช้าพรรคนี้ สายพรรคนู้น ก็ต้องมาเขียนกฎหมายกันอีกว่า จะต้องสังกัดพรรคกี่วันกี่เดือนเสียก่อนจึงจะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และเมื่อสังกัดพรรคการเมืองแล้ว ได้รับเลือกตั้งแล้ว หากลาออกจากพรรค จะพ้นจากสมาชิกภาพหรือไม่
ถ้าถูกไล่ออกจากพรรคจะพ้นจากสมาชิกภาพหรือไม่ หรือจะต้องหาพรรคสังกัดใหม่กี่วัน กี่เดือน
พรรคการเมืองก็เช่นเดียวกัน ต้องสรรหานักการเมืองที่มีชื่อเสียง มีแนวโน้ม มีคะแนนนิยมว่าจะได้รับเลือกตั้ง ใครมีชื่อเสียงดี มีคะแนนนิยมดี อาจจะต้องจ่ายนักการเมือง 20 ล้านบาท 50 ล้านบาท นั่นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของพรรค หรือเจ้าของพรรค
นักการเมืองบางคน ไม่อยากสังกัดพรรคโน้นพรรคนี้หรอกครับ แต่เจ้าของพรรคเขามาชวนเอาเงินล่อ เอาตำแหน่งรัฐมนตรีให้ ไม่มาจริงๆก็เอาคดีมาขู่ หรือถ้าหาคดีมาขู่ไม่ได้ก็ถามกันตรงๆว่า “อยากเหนื่อยเหรอ สู้กับผมเหนื่อยนะ ผมทุ่ม 50 ล้าน ร้อยล้าน พี่ก็เหนื่อย จะเอาอย่างนี้หรือ ?”
เอามาคน สองคนนั่นเรื่องหมูๆ เอามาทั้งพรรค สองพรรค ก็เห็นกันมาแล้วมิใช่หรือครับ ?
วิธีการเอามาให้นิ่มนวลก็บอกว่า เห็นด้วยกับแนวทางของพรรค เห็นด้วยกับนโยบาย อย่างวิเศษ อย่างเป็นประโยชน์ กับประเทศชาติ ประชาชนอะไรอย่างนี้ จะได้รับใช้ประชาชนอย่างเต็มที่ เป็นต้น
เพราะนี่คือการช่วงชิงอำนาจรัฐ แต่ละพรรคต้องหาวิธีเอาชนะเลือกตั้ง หาวิธีให้ได้ ส.ส.ให้มากที่สุด
แม้กระนั้นก็มีการซื้อ ส.ส. กันอีก มีการย้ายพรรคกันอีก ก็ต้องมาออกกฎหมาย แก้ไขกฎหมาย หรือเขียนเอาไว้ในรัฐธรรมนูญกันอีก
ถามว่า ให้ ส.ส. สังกัดพรรค เหมือนให้นักการเมืองเป็นสัตว์ อยู่ในคอกหรือไม่ ?
นั่นก็ขึ้นอยู่กับการมอง หรือการทำให้พรรคการเมือง เป็นอะไร พรรคการเมือง ควรที่จะเป็นสถาบันทางความคิด เป็น school เป็นที่รวมตัวของนักการเมือง ที่มีแนวคิดทางเศรษฐกิจ การเมือง และการบริหารประเทศชาติ ไปในแนวทางเดียวกัน
และเชื่อมั่นว่า แนวทางนี้แหละจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความวัฒนา ความเจริญรุ่งเรืองได้ ก็เสนอให้ประชาชนพิจารณา ให้ประชาชนเลือก
พรรคใดชนะก็ใช้นโยบายที่เสนอต่อประชาชนบริหารบ้านเมืองไป ประสบความสำเร็จบ้าง หรือล้มเหลวบ้าง ก็ให้เป็นทางเลือกของประชาชน
แต่พรรคการเมืองบ้านเรามันเหมือนกองผ้าป่า กองกฐิน ใครมีเงินก็เป็นเจ้าภาพ เป็นหัวหน้าพรรค หรือไม่ก็เป็นที่รวมของนักเลือกตั้ง ที่มีความสนิทสนมกัน เช่นมาจากผู้รับเหมาก่อสร้างด้วยกัน มาจากกลุ่มข้าราชการ หรือทหารเกษียณด้วยกัน
มันก็ได้แค่นี้แหละครับ พี่น้อง จะเอาอะไรกันนักกันหนา !
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี