การประกาศยุติการขายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวที่ผลิตในประเทศไทยของห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าออนไลน์หลายแห่งในสหราชอาณาจักร อันได้แก่ เวทโทรส โค-ออป บู๊ทส์ แอสดา โอคาโด และการยกสินค้าที่ทำจากมะพร้าวของไทยออกจากชั้นจำหน่ายสินค้าของห้างมอร์ริสันส์ ซึ่งมีข่าวว่าห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐอเมริกาและเนเทอร์แลนด์จะกระทำแบบนี้เช่นกัน รวมทั้งการทวีตข้อความของนางสาวแคร์รี ไซมอนส์ คู่หมั้นนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่เรียกร้องให้ซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งหมด โดยเฉพาะเทสโก บอยคอตต์ผลิตภัณฑ์มะพร้าวจากไทย ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่องค์กรประชาชนเพื่อการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างมีจริยธรรม หรือ พีตา (PETA : People for the Ethical Treatment of Animals) ออกมาเรียกร้องให้ต่อต้านสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวของประเทศไทย โดยระบุว่า ลิงกังที่ขึ้นเก็บมะพร้าว "ถูกบังคับให้แปลงตัวเป็นเครื่องจักรเก็บมะพร้าว" ในสวน 8 แห่งในประเทศไทย ซึ่งเป็นมะพร้าวกลุ่มที่ถูกส่งออกไปยังต่างประเทศ ทั้งยังระบุอีกว่าลิงกังเหล่านี้ถูกขโมยมาจากธรรมชาติเพื่อนำมาฝึกให้เก็บมะพร้าว โดยลิงตัวผู้สามารถเก็บมะพร้าวได้มากถึง 1,000 ลูกต่อวัน ในขณะที่มนุษย์เก็บมะพร้าวได้ประมาณ 80 ลูกต่อวัน
การกระทำของ พีตา ครั้งนี้ นอกจากเป็นการเคลื่อนไหวที่มีนัยแอบแฝงของการกีดกันทางการค้าแบบไม่ยอมลงทุนอะไรแล้ว ยังเป็นการโกหกระดับโลกที่ได้มาจากการศึกษาและแสวงหาข้อมูลที่จงใจบิดเบือนและมั่วซั่วที่สุดอีกครั้งหนึ่งขององค์กรนี้
ประการแรก ผลิตภัณ์จากมะพร้าวในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น กะทิ น้ำมะพร้าว หรือ น้ำมันมะพร้าว กว่าร้อยละ 90 มาจากผลมะพร้าวที่เก็บโดยคน ไม่ใช่ลิง เนื่องจากคนเก็บได้มากกว่าและต้นทุนการเก็บก็ถูกกว่า ข้อมูลสดๆ ร้อนๆ จากผู้สื่อข่าวสำนักหนึ่งที่ลงพื้นที่แถวอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสวนมะพร้าวมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ รายงานว่าชาวสวนที่นั่นยืนยันว่า มะพร้าวเกือบทั้งหมดเก็บโดยคนที่ใช้ไม้ไผ่ติดตะขอเกี่ยวตรงปลาย ดึงหรือกระทุ้งมะพร้าวลงมาทีละเป็นทลาย มิใช่ปลิดทีละลูกเหมือนลิง คนหนึ่งเก็บได้วันละ 500-600 ลูก ค่าจ้างเก็บลูกละ 2 บาท ในขณะที่หากใช้ลิง ตัวหนึ่งจะเก็บได้ไม่เกินวันละ 200-300 ลูก ค่าจ้างเก็บลูกละ 3 บาทแพงกว่าใช้คนเก็บ และในความเป็นจริง มีลิงรับจ้างเก็บมะพร้าวน้อยมาก เพราะจะให้ลิงเก็บเฉพาะมะพร้าวต้นสูงๆ ที่ปลูกมานานและเหลืออยู่ไม่กี่ต้นซึ่งคนเก็บไม่ถึงเท่านั้น
ประการต่อมา ลิงไม่เคยเก็บมะพร้าวได้ถึงวันละ 1,000 ลูก อย่างที่พีตาอ้าง ข้อมูลที่ อัสวิน ภักฆววรรณ - โพสต์ทูเดย์ได้มาจาก นายดีน หมัดหลี และ นายบรรเทา เกิดทรัพย์ นายหัวลิงเก็บมะพร้าว บ้านด่านโลด เทศบาลควนเสาธง อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง และ ตำบลบางไทร อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามลำดับ ระบุว่า ในยุคทองที่มะพร้าวมีราคาสูง ลิงที่มีผู้ติดต่อว่าจ้างให้ไปเก็บมะพร้าวชนิดที่หัวกระไดไม่เคยแห้ง ยังเก็บได้ไม่เกินวันละ 300-500 ลูก
ประการสุดท้าย ลิงกังที่ขึ้นเก็บมะพร้าว ไม่ใช่ลิงกังที่ถูกขโมยมาจากธรรมชาติ ตามที่พีตาบิดเบือน แต่เป็นลิงที่เกิดจากพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่นายหัวลิงเลี้ยงไว้ และเลี้ยงอย่างทะนุถนอมเหมือนสมาชิกชีวิตหนึ่งในครอบครัว มีอาหารกินวันละ 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น เช่นเดียวกับคน
ปัจจุบัน การใช้ลิงเก็บมะพร้าว เหลือให้เห็นไม่มากนัก ทั้งมิได้ปฏิบัติต่อลิงอย่างทารุณโหดร้าย ซึ่งอาจมีความจริงอยู่บ้างในอดีตเมื่อครึ่งค่อนศตวรรษที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีการตั้งโรงเรียนสอนลิงเก็บมะพร้าวของครูสมพร แซ่โค้ว และของครูคนอื่นๆ ที่เปิดตามมาเมื่อกว่า 60 ปีที่แล้ว
การที่พีตาจงใจตัดต่อคลิปบางส่วนให้ผู้คนเข้าใจไปว่า การใช้ลิงเก็บมะพร้าวในประเทศไทยเป็นการทรมานสัตว์ ทำให้ลิงเครียด จึงเป็นการเจตนาทำคลิปบิดเบือนเพื่อประกอบข้อมูลที่นำเสนออย่างบิดเบือน ที่ทำร้ายประเทศไทย ทำร้ายเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวของไทย และทำร้ายผู้ประกอบการรวมทั้งคนงานในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวของไทย ซึ่งคนไทยจะให้อภัยไม่ได้
เราไม่ควรเพียงแต่ชี้แจงให้พวกเขาเข้าใจเท่านั้น หากยังต้องเรียกร้องให้พีตาและบรรดาห้างสรรพสินค้าเหล่านั้นออกมารับผิดชอบต่อการกระทำของพวกเขา เพราะเจตนาของพวกเขามิได้เกิดจากความไม่เข้าใจ หาไม่แล้วทำไมเขาไม่ไปรณรงค์เรื่องการทารุณกรรมตัวมิงค์ก่อนที่จะถลกหนังพวกมันเอาไปทำเสื้อ ไม่ไปรณรงค์เรื่องการใช้หมูใช้หมาเก็บเห็ดทรัฟเฟิล ไม่ไปรณรงค์เรื่องการกรอกอาหารให้ห่านตับโตเพื่อไปทำฟัวกราส์ ไม่ไปรณรงค์เรื่องการตัดขนแกะเอาไปทำเสื้อกันหนาว ไม่ไปรณรงค์เรื่องการฉีดยากระตุ้นให้วัวตั้งท้องเพื่อรีดนมวัว ไม่ไปรณรงค์เรื่องการขี่ม้าล่าสัตว์ ใช้เหยี่ยวจับนกป่า รวมทั้งไม่ไปรณรงค์เรื่องการแสดงของโรงละครสัตว์ระดับโลก แต่มารณรงค์ต่อต้านลิงเก็บมะพร้าวและละครลิงของประเทศเรา
ประเทศไทยและคนไทยทุกวันนี้ ไม่เหมือนสยามและ “คนป่าเถื่อน” เมื่อ 150-160 ปีที่แล้ว ที่จะเอาเรือปืนมาปิดปากอ่าว แล้วบีบบังคับให้เก็บภาษีร้อยชักสาม ให้ยกดินแดนตรงโน้นตรงนี้ให้ เหมือนที่เคยทำได้ในยุคที่เรา “จำแขนขาด”
เราคนไทยต้องสามัคคีกัน ปกป้องศักดิ์ศรี ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและของคนไทยด้วยกันที่ถูกต่างชาติกระทำอย่างไม่เป็นธรรม
ทุกวันนี้ ประเทศไทยก็เห็นจะมีแต่ประชาชนไทยด้วยกันเท่านั้น ที่จะช่วยรักษาประเทศชาติเอาไว้ได้ จะหวังรัฐบาลชุดไหนๆ ก็คงยาก
ขนาดพูดกรอกหูประชาชนอยู่ทุกวันว่า “การ์ดอย่าตก” แต่พอเจอนักเลงโตที่ไม่รู้จะมาดี หรือมากระทำอะไรในภูมิภาคนี้อีก ก็รีบกุลีกุจอต้อนรับทูตที่ไม่ยอมใส่หน้ากากอนามัย ให้เข้ามานั่งคุยกับตนที่สวมหน้ากากจนแทบจะหายใจไม่ออกในทำเนียบรัฐบาลของตนเอง
เท่านั้นไม่พอไปร่วมงานวันชาติของเขา ก็ยอม “การ์ดตก” ไม่สวมหน้ากากอนามัยเพื่อเอาใจเขา
พรุ่งนี้ยังอนุญาตให้คณะผู้บัญชาการทหารบกของเขาเข้ามาโดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน ตามกฎที่ตัวเองตั้งไว้ ทั้งที่ประเทศนี้มีจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 มากเป็นอันดับ 1 ของโลก ถึงขั้นทะลุ 3 ล้านคน หรือกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนผู้ป่วยทั่วโลกแล้ววันนี้
ประเทศเอกราช ถ้าขาดศักดิ์ศรี จะมีหน้าอะไรไปพูดคุยกับเขา
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี